collapse

ผู้เขียน หัวข้อ: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ  (อ่าน 9435 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ benzkung

  • PREVILEGE MEMBER
  • *
  • กระทู้: 5,160
  • Total likes: 117
  • คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
« ตอบกลับ #200 เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2017, 10:10:04 PM »
แก้พ.ร.บ.กองทุนส่งออกผ่านครม.ฉลุย
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2560 - 00:01 น.
 

ครม. เคาะแก้ระเบียบกองทุนส่งออกฯ หลังใช้ 19 ปี หวังเพิ่มประสิทธิภาพ ด้าน สค.เผยเตรียมออกหลักเกณฑ์ใหม่คาดจะมีผลบังคับใช้ปี 2561 ยันไม่กระทบโครงการ ดันส่งออก-สภาพคล่องกองทุนแน่ ล่าสุดสถานะเงินกองทุนฯ สูงถึง 2,000 ล้านบาท ได้รับงบประมาณเสริมฯ จากรัฐบาล

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอร่างแก้ไขระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2541 (ร่างระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ….) เพื่อให้สอดคล้อง พ.ร.บ. การบริหารกองทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 และ พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างและการจัดซื้อพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและใช้เงินกองทุนในการส่งเสริมการจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออก ซึ่งจะเป็นส่วนที่ช่วยเสริมเพิ่มเติมจากงบประมาณประจำปีปกติ

“สาระสำคัญการแก้ไขร่างระเบียบคือให้ยกเลิกระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2541 ที่ใช้มานาน 19 ปี ซึ่งขณะนั้นยังใช้ชื่อกรมส่งเสริมการส่งออก แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแล้ว อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะทางกรมบัญชีกลางได้ออก พ.ร.บ.บริหารจัดการกองทุนหมุนเวียนใหม่ ซึ่งกองทุนส่งเสริมการส่งออกจัดอยู่ในประเภทกองทุนหมุนเวียนด้วย จึงต้องมีการปรับระเบียบ และออกหลักเกณฑ์การปฏิบัติใหม่ให้สอดคล้องกับกฎหมาย เช่น การให้อำนาจคณะกรรมการกองทุนเพิ่มขึ้น การกำหนดรายละเอียดในส่วนของแผนงานประจำปี และตัวชี้วัดให้เกิดความชัดเจน”


หลังจากผ่าน ครม.แล้ว มีการตั้งข้อสังเกตจากบางหน่วยงาน จึงต้องปรับปรุงคำในระเบียบอีกครั้งเพื่อให้เกิดความเหมาะสม ลดการซ้ำซ้อน ซึ่ง ครม.จะส่งต่อให้กับคณะทำงานด้านกฎหมายภายใต้สำนักงานเลขานุการ ครม.ดำเนินการแก้ไข คาดว่าจะเสร็จและมีผลบังคับใช้ในต้นปี 2561

“ในช่วงระหว่างปรับปรุงระเบียบยังสามารถใช้เงินกองทุนได้ปกติ และทางกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จะต้องแก้ไขหลักเกณฑ์ภายใต้ระเบียบ 1 ฉบับ ซึ่งเป็นการแก้ไขเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมาย พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างใหม่ฯ ซึ่งมีผลบังคับเดือนสิงหาคม 2560 จากเดิมหลักเกณฑ์จัดจ้างฯ ภายใต้กองทุนเป็นวิธีการเฉพาะสำหรับกองทุนเพื่อความคล่องตัว ทั้งนี้ การแก้ไขไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการกองทุน และการประโยชน์จากเงินกองทุนไม่มีการเปลี่ยนแปลง”

ทั้งนี้ ปัจจุบันสถานะเงินกองทุน ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย มียอดคงเหลือประมาณ 2,000 ล้านบาท ในแต่ละปีอนุมัติโครงการเพื่อจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ ซึ่งมาจากการเสนอของ 10 องค์กรทั้งจากภาครัฐ และภาคเอกชน 4 องค์กร คือ สมาคมธนาคารไทย สภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ซึ่งโดยปกติจะมีการเสนอโครงการเพื่อขอใช้เงินเฉลี่ยปีละ 1,000 ล้านบาท ส่วนการเบิกจ่ายเงินเป็นไปตามที่ใช้จ่ายจริง ซึ่งอาจจะไม่ถึงวงเงินที่ขอใช้

สำหรับการขอใช้เงิน แต่ละองค์กรจะเสนอโครงการมาก่อนเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ 60 วัน ต่อคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศพิจารณาอนุมัติ และเสนอต่อกรมบัญชีกลาง และรายงานต่อที่ประชุม ครม. และเมื่อใช้เงินดำเนินการเสร็จสิ้นต้องรายงานสรุปการดำเนินโครงการต่อคณะกรรมการบริหารจัดการกองทุน ภายในวันที่ 10 ของเดือนต่อไป เพื่อรายงานต่ออธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในฐานะฝ่ายเลขาฯ และต้องเสนอรายงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ทุกไตรมาสด้วย

ส่วนแหล่งที่มาของเงินกองทุนมาจาก 3 ส่วน คือ จากการเก็บค่าธรรมเนียมการส่งออกสินค้าบางรายการตามที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ. การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 รายได้จากดอกผลของเงินกองทุนซึ่งมาจากดอกเบี้ย และรายได้จากการขอรับจัดสรรงบประมาณ ในส่วนนี้จะได้รับเฉพาะในบางปี ที่เสนอขอ

“แม้ที่ผ่านมารายได้ที่เข้าสู่กองทุนลดลง เพราะสินค้าหลายรายการถูกยกเลิกไม่เก็บค่าธรรมเนียมแล้ว และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปรับลดลงไปมาก แต่กองทุนยังมีเงินที่ได้รับการจัดสรรจากงบประมาณในบางปี จึงมีสภาพคล่อง สามารถให้ความช่วยเหลือภาครัฐและเอกชนในการส่งเสริมการส่งออก หรือนำไปใช้แก้ปัญหาประเด็นการค้าที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเงินที่เสริมจากงบประมาณที่กรมได้รับจัดสรรปกติ”

ส่วนกรณีที่กรมบัญชีกลางดึงเงินกองทุนกลับไปใช้ในการพัฒนาประเทศในด้านที่จำเป็นเมื่อ 2 ปีก่อน เป็นการพิจารณาของรัฐบาลว่ากองทุนไหนมีสภาพคล่องส่วนเกินมาก นำไปใช้ในโครงการที่เป็นประโยชน์ ซึ่งไม่ได้มีผลกระทบต่อสภาพคล่องและไม่เกี่ยวกับการปรับแก้ระเบียบครั้งนี้

ออฟไลน์ benzkung

  • PREVILEGE MEMBER
  • *
  • กระทู้: 5,160
  • Total likes: 117
  • คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
« ตอบกลับ #201 เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2017, 10:10:35 PM »
จัดเกรดมาตรฐาน”ข้าวสี”ไทย คน.ตั้งงบ20 ล้าน ขอใบรับรองส่งออกต่างประเทศ
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 - 21:30 น.


พาณิชย์จัด MOU ชาวนากับโรงสี-ผู้ส่งออก ดันสร้างมาตรฐาน “ข้าวสี” ทำตลาดต่างประเทศ ด้านกรมการค้าภายในเตรียมของบประมาณ 20 ล้านบาท ขอใบรับรองมาตรฐานในตลาดต่างประเทศ พร้อมแนะเกษตรกรเตรียมความพร้อมด้านเพาะปลูกรองรับตลาดในอนาคต

นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังเป็นประธานการลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ในการเชื่อมโยงตลาดข้าวสี ที่จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า การลงนาม MOU ครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน ผู้ปลูกข้าวสี กับผู้ที่จะเข้ามารับซื้อ คือ โรงสี และผู้ส่งออก ผู้ประกอบการข้าวถุง เพื่อนำไปทำตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศต่อไป การลงนามครั้งนี้ถือเป็นก้าวแรกในการทำตลาดข้าวสีไทยอย่างจริงจัง เพื่อให้ผู้ซื้อรู้จักและผู้ปลูกมีช่องทางการทำตลาดที่ชัดเจน โดยจากนี้ไปกระทรวงพาณิชย์จะส่งเสริมข้าวสีไทยให้ได้มาตรฐานทั้งในระดับประเทศและระดับสากล เพื่อยกระดับการแข่งขันต่อไป

ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญในการส่งเสริมตลาดข้าว จึงจัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งเพื่อผลักดันให้ข้าวไทยได้รับการรับรองมาตรฐาน โดยเฉพาะข้าวสีไทย ซึ่งมีคุณภาพและมีประโยชน์ต่อผู้บริโภคเป็นอย่างมาก แต่ยังไม่ได้รับการสนับสนุนเพื่อผลักดันสู่ตลาดมากนัก ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ส่งเสริมมาตรฐานข้าวสีไทยให้เป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับสากล

“เมื่อรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุน ทำให้เกษตรกรสนใจปลูกข้าวสีมากขึ้น เนื่องจากขายได้ราคาดี แต่ต้องสร้างมาตรฐานให้ได้คุณภาพ และเป็นที่ยอมรับตามความต้องการของตลาด ต่อไปกระทรวงพาณิชย์จะทำการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ และทิศทางของตลาด ราคา โดยเกษตรกรต้องเตรียมความพร้อมด้านการเพาะปลูก และคุณภาพข้าว มาตรฐาน เพื่อรองรับตลาดในอนาคต ตรงนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ” นางอภิรดีกล่าว

นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรมการค้าภายในอยู่ระหว่างการตั้งงบประมาณในการส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกข้าวสี ข้าวอินทรีย์ โดยเฉพาะการรับรองมาตรฐานข้าวในตลาดต่างประเทศ ซึ่งต้องใช้งบประมาณ ต้นทุนในการขอใบรับรองสูง ซึ่งตั้งงบประมาณเบื้องต้นไว้ที่ 20 ล้านบาท ระยะเวลาปี 2563-2565 และภายหลังการ MOU ต้องการให้เกษตรกรเตรียมความพร้อมด้านการเพาะปลูกให้ได้มาตรฐาน เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลานาน ทั้งเรื่องดิน น้ำ พันธุ์ข้าว ซึ่งทุกอย่างมีความเกี่ยวข้องกัน หากต้องการให้ได้มาตรฐานเกษตรกรต้องเริ่มต้นในตอนนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมในการตรวจสอบเพื่อขอรับรองคุณภาพ มาตรฐานจะได้สะดวกมากขึ้น


“ค่าใช้จ่ายในการขอใบรับรองมาตรฐานข้าวในต่างประเทศอยู่ที่ราคา 70,000-80,000 บาทต่อ 1 ใบรับรอง ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงพอสมควร ดังนั้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้ได้ใบรับรองมาตรฐานเพื่อการส่งออก กรมจึงได้ตั้งงบประมาณขึ้นมา โดยที่เกษตรกรไม่ต้องจ่าย เพื่อสร้างมาตรฐานข้าวให้ได้ตามการตรวจสอบเท่านั้น” นายบุณยฤทธิ์กล่าว และว่า

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเมื่อสามารถผลิตข้าวสี ข้าวอินทรีย์ และได้การรับรองจากต่างประเทศ จะทำให้การส่งออกข้าวไทยขยายตัวได้ในอนาคต และระหว่างที่เกษตรกรเตรียมการเพาะปลูกกรมจะเชิญชวนผู้ปลูกที่มีข้าวสีอยู่แล้วมาร่วมงานแสดงสินค้าเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเป็นงานใหญ่ที่เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงพาณิชย์และผู้จัดงานของเยอรมนี ซึ่งเป็นผู้จัดงานอันดับหนึ่งของโลกในการจัดงานเกษตรอินทรีย์ และเพื่อให้ข้าวสี ข้าวอินทรีย์ของไทย เริ่มเป็นที่รู้จัก และทำการประชาสัมพันธ์ไปในตัว ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้นการทำตลาดที่ดีให้กับเกษตรกรเองด้วย โดยงานจะมีขึ้นช่วงเดือนกรกฎาคม 2561

เร่งสร้างมาตรฐาน ก่อนทำตลาด “ข้าวสี”

เมื่อไม่นานมานี้ กระทรวงพาณิชย์ และสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ได้จัดคณะใหญ่นำทัพผู้นำเข้าข้าวจากฮ่องกงที่เดินทางมาลงนามบันทึกความเข้าใจซื้อข้าวจากประเทศไทย ไปลงพื้นที่ชมวิถีชีวิตชาวนาไทย ตั้งแต่บายศรีสู่ขวัญก่อนลงนาเกี่ยวข้าว พร้อมลงนาชมกระบวนการสีข้าวจากโรงสี เรียกว่า “ครบวงจร”

หนึ่งในกิจกรรมเด็ด หนีไม่พ้นการรับประทานข้าวที่สมาคมผู้ส่งออกฯคัดสรรมาเสิร์ฟเป็นเมนูพิเศษ โดยนำ “ข้าวสี” 2 ชนิด มาหุงให้รับประทานบนโต๊ะอาหารจีน ซึ่งได้กลายเป็นประเด็นถกกันอย่างกว้างขวางระหว่างกูรูโรงสีข้าวหอมมะลิอีสาน ผู้ส่งออกข้าวรุ่นใหญ่ และผู้ส่งออกข้าวรุ่นใหม่ว่า ข้าวที่หุงมานั้น คือ สายพันธุ์ใด ?

หากดูจากลักษณะทางกายภาพ ข้าวชนิดแรกสีน้ำตาลเมล็ดยาว น่าจะเป็น “ข้าวสังข์หยด” พัทลุง หรือไม่ก็ “ข้าวหอมแดง” และอีกชนิดเป็น “ข้าวสีม่วงดำ” น่าจะเป็น “ข้าวไรซ์เบอร์รี่” หรือไม่ก็ “ข้าวหอมนิล”

หลังจากทั้งชิมและดมกันไปรอบ ยังตัดสินไม่ได้ จนต้องเรียกเจ้าภาพมาเฉลยว่า ข้าวสีน้ำตาลเป็น “ข้าวพันธุ์ทับทิมชุมแพ” ซึ่งเป็นลูกผสมเกิดจาก “สังข์หยด” บวกกับ “หอมมะลิ” ส่วนอีกชนิดที่มีสีม่วงแดง คือ “ข้าวหอมนิล” ที่มีหน้าตาคล้าย “ข้าวไรซ์เบอร์รี่”สะท้อนว่า ขนาดกูรูยังดูไม่ออกเลยว่า ข้าวสีที่เห็นเป็นสายพันธุ์ไหน แล้วคนทั่วไปจะทราบได้อย่างไรก่อนตัดสินใจซื้อ !

กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการถกกันถึงเรื่องการกำหนด “มาตรฐานข้าวสีไทย” ซึ่งทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นเจ้าภาพเริ่มยกร่างมาตั้งแต่กลางปี 2560 ขณะที่กระทรวงพาณิชย์มีบทบาทเป็นเซลส์แมน ขายทุกอย่างที่เป็น “ข้าวสี”

ฝ่ายโรงสีให้ความเห็นว่า การกำหนดมาตรฐานโดยใช้เฉดสีเป็นตัววัดไม่ได้ เพราะสีของเมล็ดข้าวสายพันธุ์เดียวกัน หากปลูกคนละปี คนละพื้นที่ คนละสภาพอากาศ ให้สีแตกต่างกัน ดังนั้นการตรวจสอบและวัดมาตรฐานทำได้ยาก และราคาขายในท้องตลาดแตกต่างกัน เช่น ข้าวไรซ์เบอร์รี่ บางที่ขายสูงถึง 100 บาท/กก. แต่ตลาดนัดบางที่ขาย 50-60 บาท/กก. แล้วประชาชนจะรู้ได้อย่างไรว่า ตัวไหนของแท้ หรือก๊อบเกรดเอ

ด้านผู้ส่งออกมองว่า ปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกข้าวสีมีเพียง 0.01% เทียบกับยอดส่งออกข้าวทั้งประเทศ โดยปี 2559 มีการส่งออกข้าวกล้องแดงมากที่สุด 8,710 ตัน ข้าวเหนียวดำ 2,187 ตัน ข้าวกล้องดำ 1,324 ตัน ปี 2558 ข้าวสีทุกชนิดส่งออกรวม 10,130 ตัน

การทำตลาดยากตรงที่จะสื่อให้ผู้บริโภครับทราบ เพราะขนาดกูรูวงการข้าวยังแยกไม่ออก หากเป็นเช่นนี้ย่อมมีผลต่อการกำหนดราคาขาย…

และเมื่อการตลาดไม่ชัดเจน ไม่มีตลาดรองรับ ย่อมจะส่งผลย้อนกลับมาถึงภาคการผลิต ทำให้ชาวนาไม่นิยมปลูก

ในโต๊ะอาหารยังแสดงความเป็นห่วงถึง “ข้าว กข. 43” ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่กระทรวงเกษตรฯพัฒนาและส่งเสริมการปลูก โดยข้าวชนิดนี้มีจุดแข็ง คือ มี “ดัชนีน้ำตาลต่ำ” ถูกใจสายสุขภาพ เพราะทานแล้วไม่อ้วน ในอนาคตหากตลาดข้าวกลุ่มนี้ขยายตัว ทั้งที่ยังไม่มีการควบคุมมาตรฐานแน่นอน เกรงว่าอาจจะซ้ำรอย คล้ายกับมาตรฐานข้าวสี

จึงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องคงต้องเร่งหารือ เพื่อให้ข้าวสีไทยผงาดในตลาดโลกได้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้นต่อไป

ออฟไลน์ benzkung

  • PREVILEGE MEMBER
  • *
  • กระทู้: 5,160
  • Total likes: 117
  • คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
« ตอบกลับ #202 เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2017, 10:12:14 PM »
ส่อง GMO เพื่อนบ้าน กับความท้าทาย เทคโนโลยีเกษตรอาเซียน อนาคตแรงงานเกษตรลด?
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 - 20:30 น.
 
ปัจจุบันเกษตรกรรม คือความท้าทายความมั่นคงด้านอาหารนานาประเทศ เนื่องจากต้องปรับให้สอดรับกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ประกอบกับองค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ประเมินว่าในห้วงศตวรรษที่ 21 อาหารจะสามารถหล่อเลี้ยงประชากรโลก 9 พันล้านคนได้อย่างไร หากในอนาคตปี 2050 โลกต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทุกมิติ จึงนับเป็นเรื่องที่ตื่นตัวสำหรับภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม เกษตรกร ต้องร่วมมือกันกำหนดทิศทาง

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ครอฟไลฟ์ เอเชีย นำคณะสื่อมวลชนไทยเดินทางเวิร์กช็อปสัมมนาเกี่ยวกับบทบาทของ Plant Science ที่เข้ามาช่วยด้านการเกษตรและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประเด็นปัญหาการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเกษตรภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ร่วมกับสื่อมวลชนอาเซียน 50 คน พร้อมลงพื้นที่ศึกษาดูงานการวิจัยและพัฒนาข้าว สถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศ (International Rice Research Institute หรือ IRRI) ณ ประเทศฟิลิปปินส์

ส่อง GMO เพื่อนบ้าน

ปัจจุบันมีหลายประเทศอนุญาตให้ปลูกพืชจีเอ็มโอ อาทิ อินเดีย จีน ปากีสถาน บังกลาเทศ ออสเตรเลีย บราซิล แคนาดา บราซิล รวมถึงประเทศในเอเชีย เช่น ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และเมียนมา ขณะที่บางประเทศยังไม่มีกฎหมายรองรับและยังเป็นเพียงการศึกษาวิจัยถึงความเป็นไปได้ในอนาคตเท่านั้น

ดร.โรโดร่า อัลเดอร์มิตา ผู้เชี่ยวชาญด้านไบโอเทคโนโลยี สถาบัน International Service for the Acquisttion of Agri-Biotech Applications (ISAAA) ให้ข้อมูลว่า ฟิลิปปินส์ค่อนข้างเปิดกว้างและก้าวหน้าในการใช้จีเอ็มโอกว่า 16% พื้นที่ 5 ล้านไร่ ของการเกษตร และเริ่มพัฒนาเป็นการเกษตรเชิงพาณิชย์ เช่น ข้าวจีเอ็มโอสีทอง ข้าวโพด บีทีคอตตอนหรือฝ้าย และมะละกอ


เช่นเดียวกับเวียดนามได้ส่งเสริมทดลองปลูกข้าวโพดจีเอ็มโอ 3.5 พันไร่ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ คือหมูและสัตว์ปีกในอนาคต รวมถึงเมียนมา มีการปลูกบีทีคอต หรือฝ้ายในเชิงพาณิชย์ มีชื่อว่า Ngwe Chi 6 และ 9 มาแล้วกว่า 10 ปี บนพื้นที่ 1.8 ล้านไร่ และในอนาคตรัฐบาลจะออกกฎหมายรองรับเทคโนโลยีชีวภาพปลอดภัย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางการค้า

อนาคตแรงงานเกษตรลด

การสัมมนามีประเด็นเกี่ยวกับการพืชอารักขาของแต่ละประเทศ โดยมีการหยิบยกการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ได้พบว่าการทำเกษตรอินทรีย์อาจไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการอาหารที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนประชากรโลกในปี ค.ศ. 2050 หากไม่ใช้สารอารักขาพืชแปลงเกษตรจะเสียหายจากการทำลายของศัตรูพืช ซึ่งเท่ากับว่าต้องใช้แรงงานคนในการกำจัดวัชพืชจำนวนมาก อนาคตจะเป็นเรื่องท้าทายแรงงานภาคเกษตรเป็นอย่างมากเพราะค่อนข้างขาดแคลน โดยเฉพาะสถานการณ์แรงงานอาเซียนอยู่ระหว่างช่วงของการเปลี่ยนผ่านคนรุ่นใหม่อาจไม่สนใจการทำเกษตรเหมือนในอดีต

ดร.พอล เต่ง นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีชีวภาพ มหาวิทยาลัยนานาชาติ NIT, NTU สิงคโปร์ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลายประเทศมีกฎหมายรองรับการใช้สารเคมีเเตกต่างกันออกไป ซึ่งปัจจุบันทุกประเทศได้กลับมาทบทวนปัญหาและกำลังวางกรอบที่ควรจะเป็นในอนาคต

“แต่มุมมองส่วนตัวนโยบายเกษตรของไทย ขณะนี้ได้ยกระดับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 รัฐบาลต้องเข้ามาช่วยเป็นแกนกลางที่ชัดเจนสำหรับการใช้เทคโนโลยีให้เกษตรกรควบคู่ไปกับ food safety สิ่งแวดล้อม แม้กระทั่งความปลอดภัยของเกษตรกรเองก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ หากอนาคตมีการจำกัดการใช้สารเคมี นั่นหมายความว่าอาจต้องพิจารณาถึงความจำเป็นที่ต้องใช้ปัจจัยผลิตอื่นมาทดแทนหรือไม่ และจะเลือกทางไหน หากอนาคตเกษตรกรต้องต่อสู้กับต้นทุนที่สูงขึ้นทั้งแรงงานและปัจจัยการผลิต

IRRI ความมั่นคงอาหาร

นอกจากนี้ คณะสื่อมวลชนได้เข้าเยี่ยมชมสถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศ International Rice Research Institute หรือ IRRI ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยด้านการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวจากทั่วโลก ก่อตั้งเมื่อปี 2503 เพื่อมุ่งเน้นขจัดความยากจนหิวโหยเพื่อความยั่งยืน และเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ

โดย IRRI เป็นศูนย์รวมของธนาคารเชื้อพันธุ์ข้าวโลกที่เก็บรวบรวมตัวอย่างพันธุกรรมข้าวกว่า 1.28 แสนเชื้อพันธุ์ และมีแปลงทดลองพันธุ์ข้าวที่ทนต่อทุกสภาพภูมิอากาศ รวมถึงมีพื้นที่วิจัยพัฒนาพืชจีเอ็มโอข้าว ระบบปิด ห้องทดลองประเมินลักษณะทางกายภาพ สรีรวิทยาจากเมล็ดพันธุ์ข้าวทั่วโลกต้องส่งมาปรับปรุงพัฒนาสายพันธุ์ รสชาติ รวมถึงคุณค่าทางโภชนาการสารอาหารและขึ้นทะเบียนรับรองพันธุ์ข้าวของแต่ละประเทศ

ดร.บรู๊ซ เจ.โทเลนติโน รักษาการแทนผู้อำนวยการ IRRI ได้บรรยายภาพรวมถึงความท้าทายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับการเติบโตของประชากร และความมั่นคงด้านอาหาร โดยเฉพาะสถานการณ์พื้นที่ ปริมาณข้าวในอาเซียน และการปรับเปลี่ยนเพาะปลูกของไทยที่หันมาลดพื้นที่และพัฒนาข้าวคุณภาพในฐานะผู้ส่งออกข้าวโลก อย่างไรก็ตามล่าสุด ไทยเป็น 1 ใน 7 ประเทศที่มุ่งเน้นพัฒนาข้าวยั่งยืน จากการลดการปล่อยกาซเรือนกระจกในการผลิตข้าว จากการรับรองของ IRRI อีกด้วย

ไทยกับนโยบาย GMO

ดร.ดุ๊ก ฮิปป ผู้อำนวยการสัมพันธ์องค์กรครอฟไลฟ์ เอเชีย ได้สรุปการสัมมนาว่า การเติบโตของพลเมืองที่มากขึ้นภายใต้การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ รวมถึงโรควัชพืชที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นเพื่อให้ความมั่นใจว่าเทคโนโลยีทางการเกษตรมีความจำเป็นที่เพียงพอและควบคู่ไปกับทรัพยากร

“ประเทศไทยมีแหล่งทรัพยากรมากมายที่จำเป็นต่อการพัฒนา โดยเฉพาะด้านเกษตรกรรม ดังนั้น วิทยาศาสตร์ในด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีจะช่วยชาวนารับรู้ปัญหาเพื่อปรับตัวเผชิญหน้ากับความท้าทาย เช่น น้ำท่วม โรควัชพืช และภัยแล้งในทุก ๆ ปีรวมถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาทั้งในปัจจุบันและอนาคต หากจะสามารถช่วยเหลือชาวนาในการปลูกข้าวในสภาวการณ์ต่าง ๆ ได้ จึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีจะต้องมีองค์ความรู้และใช้อย่างถูกต้อง

สำหรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เป็นเสมือนแกนกลางของการเกษตรกรรมของไทย ซึ่งทั้งหมดใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำการเกษตร นับว่าเป็นโครงการที่รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญสำหรับอนาคตของประเทศไทย เพราะเกษตรกรรมเป็นองค์ประกอบใหญ่ และสิ่งสำคัญก็คือ ชาวนาไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนวัตกรรมได้ไม่ว่าจะเป็นแปลงใหญ่และการปรับตัวก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งรัฐบาลไทยมีการสนับสนุน แต่เหนือสิ่งอื่นใด รัฐบาลและเกษตรกรต้องเดินไปในทิศทางเดียวกัน” ดร.ดุ๊กกล่าวทิ้งท้าย

สำหรับประเทศไทย แม้ว่าจะมีการศึกษาทดลองเพื่อเตรียมความพร้อมกำกับดูแลความปลอดภัยทางชีวภาพของพืชดัดแปลงทางพันธุกรรม หรือจีเอ็มโอ มาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถควบคุมการทดลองปลูกในแปลงได้ชัดเจน เพราะยังมีปัญหาเรื่องการหลุดรอดออกไปสู่ธรรมชาติ ทำให้ปัจจุบันยังไม่อนุญาตให้มีการปลูกพืชจีเอ็มโอ ภายใต้พระราชบัญญัติความปลอดภัยทางชีวภาพ ซึ่งนับเป็นประเด็นท้าทาย ในอนาคตหากจำเป็นต้องพึ่งพาพืชจีเอ็มโอ ควรวางกรอบทิศทางอย่างไรให้ชัดเจน ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0

ออฟไลน์ benzkung

  • PREVILEGE MEMBER
  • *
  • กระทู้: 5,160
  • Total likes: 117
  • คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
« ตอบกลับ #203 เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2017, 10:12:36 PM »
จัดใหญ่งาน eLogistics Summit 2017 พาณิชย์หนุนไทยขึ้นแท่น ‘ฮับเอเชีย’
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 - 19:55 น.


จัดใหญ่งาน eLogistics Summit 2017 พาณิชย์หนุนไทยขึ้นแท่น ‘ฮับเอเชีย’ ชี้จุดแข็งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เดินหน้าจัดทำยุทธศาสตร์บริการโลจิสติกส์

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ Thailand: The Logistics Hub of ASEAN ในงานอบรมสัมมนา eLogistics Summit 2017 ซึ่งจัดโดยสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย (ATCI) ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา ที่โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการและคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ




​โดยภายในงานได้ชี้ให้ผู้ประกอบการด้านโลจิสติกส์ ภาคเอกชน และภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ได้ตระหนักถึงความสำคัญของภูมิรัฐศาสตร์ที่มีต่อเศรษฐกิจการค้า รวมทั้งกระตุ้นการตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของภูมิภาคเอเชีย ไม่เพียงแต่อาเซียน โดยใช้ประโยชน์จากการที่ไทยและอาเซียนมีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าโลก (Global Value Chain) ในหลายสินค้า ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนภาคการผลิต และภาคบริการของโลก นอกจากนี้ยังมีข้อได้เปรียบด้านที่ตั้งอันเป็นจุดตัด-จุดเชื่อมโยงระหว่างตลาดสำคัญที่กำลังเติบโต ทั้ง CLMV อาเซียน จีน และอินเดีย ที่มีความสัมพันธ์อันดีด้านเศรษฐกิจและสังคมกับไทย จึงมีโอกาสมหาศาลด้านการค้าการลงทุนทั้งสินค้าและบริการรอผู้ประกอบการไทยอยู่



“หากเราสามารถเสริมสร้างและใช้ประโยชน์จากความเชื่อมโยง soft side และ hard side ภายในภูมิภาค ได้แก่ ความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานทางบก-ทางน้ำ-ทางอากาศ ด้านดิจิทัล ด้านการเงิน ด้านพลังงาน ด้านประชาชนผ่านการท่องเที่ยว การศึกษา และวัฒนธรรม ตลอดจนความเชื่อมโยงด้านสถาบัน ผ่านการยกระดับ/ขยายความร่วมมือ/ข้อตกลงด้านเศรษฐกิจการค้า อาทิ RCEP แล้ว จะช่วยให้ประเทศไทยเป็น Logistics Hub ของเอเชียได้อย่างแน่นอน”



นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวทิ้งท้ายถึงทิศทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของไทยภายใต้แผนยุทธศาสตร์ การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2560-2564) ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อยู่ระหว่างการขับเคลื่อนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสอดคล้องกับกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้กำหนดให้โลจิสติกส์เป็นหนึ่งในสาขาบริการเป้าหมาย และได้ยกร่างยุทธศาสตร์ภาคบริการ สาขาโลจิสติกส์การค้า (Trade Logistics) ขึ้นเป็นฉบับแรก โดยมุ่งมั่นที่จะยกระดับโลจิสติกส์การค้า พัฒนาผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย สร้างมูลค่าเพิ่มภาคบริการ และเชื่อมโยงการค้าการลงทุน เพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าและบริการโลจิสติกส์ของภูมิภาคอาเซียนและเอเชีย

ออฟไลน์ benzkung

  • PREVILEGE MEMBER
  • *
  • กระทู้: 5,160
  • Total likes: 117
  • คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
« ตอบกลับ #204 เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2017, 10:12:59 PM »
บอร์ดบีโอไอ ออก 3 มาตรการหนุนEEC-SMEs เริ่ม 1 ม.ค.61 เปิดส่งเสริม “ศูนย์กลางการค้า” บูมลงทุนในภูมิภาค
วันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 - 18:37 น.


บอร์ดบีโอไอ ขยายเวลาและปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี และสนับสนุนให้กิจการเอสเอ็มอีเข้าสู่ตลาด เพื่อระดมทุน พร้อมเปิดให้ส่งเสริมกิจการ “ศูนย์กลางการค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์แบบครบวงจร”ที่เน้นการลงทุนใน SEZ ชายแดน เพื่อดันไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในภูมิภาค

นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานว่า ที่ประชุมได้พิจารณานโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนในอนาคต ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบมาตรการเพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนในกิจการเป้าหมายเพิ่มมากขึ้น

โดยคณะกรรมการได้เห็นชอบให้มาตรการสำหรับพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2561 ถึง 30 ธันวาคม 2562 และได้ปรับปรุงเงื่อนไขในการส่งเสริม โดยให้โครงการที่ขอรับการส่งเสริมจะต้องมีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย หรือศูนย์ความเป็นเลิศ ตามรูปแบบที่กำหนดเพื่อกระตุ้นให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และปรับปรุงสิทธิประโยชน์โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนในกิจการเป้าหมายในพื้นที่พิเศษของอีอีซีใน 3 ระดับ ได้แก่


1.มาตรการในพื้นที่ EEC กรณีลงทุนในเขตส่งเสริมเพื่อกิจการพิเศษ เช่น เมืองการบินภาคตะวันออก (สนามบินอู่ตะเภา) ซึ่งจะพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางด้านการบิน อากาศยานและอวกาศในภูมิภาค เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation หรือ EECI) ซึ่งจะพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางด้านการวิจัยและพัฒนา นวัตกรรมระดับสากล และ เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Digital Park Thailand หรือ EECD) ซึ่งจะพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านดิจิทัล เป็นต้น โดยจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม 2 ปี จากเกณฑ์ปกติ (รวมสิทธิประโยชน์เดิมเกิน 8 ปีได้) และลดหย่อนอีกร้อยละ 50 เป็นระยะเวลา 5 ปี

กรณีลงทุนในเขตส่งเสริมเพื่อกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมายซึ่งหมายถึงนิคมอุตสาหกรรมต่างๆที่พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายเป็นการเฉพาะ จะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เพิ่มเติมอีก 5 ปีหลังสิ้นสุดระยะเวลายกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามเกณฑ์ปกติ

กรณีลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตอุตสาหกรรมทั่วไปที่ได้รับการส่งเสริมในพื้นที่อีอีซีจะได้รับการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เพิ่มเติมอีก 3 ปีหลังสิ้นสุดระยะเวลายกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามเกณฑ์ปกติ จูงใจเอสเอ็มอีเข้าระดมทุนในตลาด MAI

2.มาตรการสนับสนุนให้เอสเอ็มอีไทยพัฒนาศักยภาพและเติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อก้าวสู่ระดับสากล บอร์ดบีโอไอยังมีมาตรการส่งเสริมให้เอสเอ็มอีจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) โดยให้ได้รับวงเงินภาษีที่ได้รับยกเว้นเพิ่มอีกร้อยละ 100 ทั้งนี้ มาตรการส่งเสริมเอสเอ็มอีดังกล่าวนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 ถึง 30 ธันวาคม 2563

3.เปิดส่งเสริมกิจการ “ศูนย์กลางการค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์แบบครบวงจร” เพื่อเสริมให้มีการลงทุนในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนมากยิ่งขึ้น ที่ประชุมเห็นชอบให้เปิดการส่งเสริมกิจการศูนย์กลางการค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์แบบครบวงจร เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) พัฒนาผลิตภัณฑ์ สามารถเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า และต่อยอดโอกาสทางการตลาดโดยใช้ศักยภาพเชิงที่ตั้งของพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดนทั้ง 10 แห่ง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในพื้นที่ และทำให้ประเทศไทยก้าวเป็นศูนย์กลางการค้าครบวงจรในภูมิภาคโดยกำหนดให้ยื่นขอรับส่งเสริมภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2561เพื่อเร่งรัดให้มีการลงทุนโดยเร็ว

ซึ่งมาตรการดังกล่าวกำหนดรูปแบบการลงทุนเป็น 2 รูปแบบ คือ 1.กรณีโครงการที่ตั้งในพื้นที่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ)ชายแดน 10 จังหวัดจะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี (กำหนดวงเงินที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 100 ของเงินลงทุนโดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) และได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล อีกร้อยละ 50 เป็นเวลา 5 ปี หลังสิ้นสุดระยะเวลายกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล

และ2.กรณีโครงการที่ตั้งในพื้นที่นอกเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งจะต้องลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) อย่างน้อย 1 แห่งควบคู่กันไป จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี(กำหนดวงเงินที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ร้อยละ 100 ของเงินลงทุนโดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนของโครงการที่ลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ)) เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีศักยภาพมาช่วยพัฒนาผู้ประกอบการรายย่อยได้มากขึ้น

ที่ประชุมได้เห็นชอบให้การส่งเสริมกิจการขนส่งทางอากาศ แก่บริษัท สายการบินนกสกู๊ต จำกัด ซึ่งเป็นสายการบินราคาประหยัด ให้บริการขนส่งเส้นทางระหว่างประเทศ เงินลงทุนทั้งสิ้น 6,578 ล้านบาท เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่นักท่องเที่ยว และการขนส่งสินค้าทางอากาศ

ออฟไลน์ dupbee

  • PREVILEGE MEMBER
  • *
  • กระทู้: 5,016
  • Total likes: 1
  • คะแนนพิเศษ: +0/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
« ตอบกลับ #205 เมื่อ: ธันวาคม 10, 2017, 08:35:15 PM »
 (:Lover:) (:Lover:) (:Lover:) (:Lover:) (:Lover:)

ออฟไลน์ dupbee

  • PREVILEGE MEMBER
  • *
  • กระทู้: 5,016
  • Total likes: 1
  • คะแนนพิเศษ: +0/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
« ตอบกลับ #206 เมื่อ: ธันวาคม 29, 2017, 08:36:25 PM »
 (:Thank you:) (:Thank you:) (:Thank you:) (:Thank you:) (:Thank you:) (:Thank you:) (:Thank you:)

ออนไลน์ Twptsshop

  • ครั้งแรก ที่รู้จักพงษ์ ก็ชอบและถูกชะตาขึ้นมาทันที และเท่าที่เห็นมา พงษ์เป็นคนที่ไม่มีพิษมีภัยกับใคร โชคดีที่ได้รู้จักพงษ์ครับ
  • CHAMPION MEMBER
  • PREVILEGE MEMBER
  • *
  • กระทู้: 9,877
  • Total likes: 337
  • คะแนนพิเศษ: +20/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
« ตอบกลับ #207 เมื่อ: มีนาคม 06, 2018, 09:14:14 PM »
 (:Lover:)ขอบคุณมากๆครับ
💗💗💗⚘⚘⚘

ออฟไลน์ nongyosi485

  • รักกันต้องรักที่ใจใช่สะตัง
  • PREVILEGE MEMBER
  • *
  • กระทู้: 5,167
  • Total likes: 4
  • คะแนนพิเศษ: +0/-0
  • มีดีทีเปลี่ยนแปลง
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
« ตอบกลับ #208 เมื่อ: เมษายน 11, 2018, 10:35:27 PM »
wow like love kiss

ออฟไลน์ wud

  • PREVILEGE MEMBER
  • *
  • กระทู้: 5,166
  • Total likes: 14
  • คะแนนพิเศษ: +7/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
« ตอบกลับ #209 เมื่อ: มกราคม 25, 2020, 06:39:31 PM »
 (:best:) (:best:) (:best:) (:best:) (:best:) (:best:)

ออฟไลน์ Kawin_x

  • FOUNDER MEMBER
  • *
  • กระทู้: 1,131
  • Total likes: 0
  • คะแนนพิเศษ: +0/-0
  • ทนายขี้เงี่ยน
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
« ตอบกลับ #210 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2021, 02:19:03 PM »
ขอบคุณนะครับที่นำเสนอข้อมูลดีๆ  (:Nice:) (:Kiss:)

ออฟไลน์ Ka-Chay.2015

  • ไม่ต้องรู้เรื่องส่วนตัวกันมากมาย .. แค่รู้เรื่องของกายกันและกันก็พอ
  • CHAMPION MEMBER
  • PREVILEGE MEMBER
  • *
  • กระทู้: 5,638
  • Total likes: 16
  • คะแนนพิเศษ: +9/-0
  • เป็นความสุขของกันและกัน
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
« ตอบกลับ #211 เมื่อ: กันยายน 04, 2021, 07:59:26 PM »
ยอดเยี่ยมมากครับ
สถานะ :

                              เป็นความสุข ของกันและกัน
                  ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องส่วนตัวกันมากมาย 
                   แค่ รู้เรื่องของ "กาย"  กันและกันก็พอ

                                          18 Aug. 2015

 

* Calendar

พฤศจิกายน 2024
อา. จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส.
1 2
3 4 5 6 7 8 9
10 11 12 13 14 15 16
17 18 19 20 21 22 [23]
24 25 26 27 28 29 30