Music Massage by Pong: นวดประกอบเพลงโดยพงษ์
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว:
หน้าแรก
ช่วยเหลือ
ค้นหา
ปฏิทิน
Recent Topics
สมาชิก
View the memberlist
ค้นหาผู้ใช้
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
Like stats
Music Massage by Pong: นวดประกอบเพลงโดยพงษ์
»
Members' Forum
»
มุมทั่วไป มุมความรู้ เคล็ดลับต่างๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ
(ผู้ดูแล:
admin
) »
อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
หน้า:
1
2
[
3
]
4
5
...
9
ลงล่าง
ผู้เขียน
หัวข้อ: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ (อ่าน 9431 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #50 เมื่อ:
สิงหาคม 03, 2017, 10:53:57 PM »
2สมาคมผู้ส่งออกข้าว-โรงสีข้าว แจงปมร้องตรวจโกดังข้าว จี้รัฐแจงเกณฑ์จัดเกรดข้าวใหม่
นายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย เปิดเผยถึงกรณีที่นางสาวอิศราภรณ์ คงฉวี ผู้แทนเจ้าของคลังวรโชติ (หลัง 2) ออกมาชี้แจงกรณีโกดังข้าว 8 แห่ง เรียกร้องรัฐบาลระงับการระบายข้าวในโครงการรับจำนำข้าวปี 2556/57 ว่า สาเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นจากการตีความของคุณภาพข้าวที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งเกิดขึ้นเป็นกรณีแรกที่มีเจ้าของคลังออกมาเรียกร้องเช่นนี้ ในฐานะสมาคมโรงสีข้าวไทยมองว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ทางออกที่สามารถดำเนินการได้ ภาครัฐจำเป็นต้องประเมินถึงผลกระทบก่อน หากพบว่าทางออกที่ดีคือ การเจรจากับผู้ประมูลข้าว และตรวจสอบคุณภาพข้าวได้ใหม่ จะไม่ทำให้ภาครัฐเสียหาย อีกทั้งจะเกิดประโยชน์ให้ทุกฝ่ายยอมรับคุณภาพข้าวที่ตรงกันก็น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสม
“ปัญหาเกิดจากกระบวนการคัดเกรดคุณภาพออกออกไปเป็น กลุ่ม เอ, บี ,ซี หรือข้าวเพื่อการบริโภค ข้าวเพื่ออาหารสัตว์ และข้าวเพื่อทำพลังงาน ส่วนนี้ในฐานะเจ้าของคลังที่ออกมาชี้แจงก็ระบุว่า ไม่ทราบถึงหลักเกณฑ์แบ่งกลุ่มที่ชัดเจน รู้เพียงว่าข้าวในคลังของเขาเป็นข้าวประเภทใด มีคุณภาพอย่างไร แต่ไม่ทราบว่าข้าวเหล่านั้นถูกใช้หลักเกณฑ์อะไร ในการนำไปคัดเกรดอีกระดับหนึ่ง เมื่อดำเนินการมาถึงขั้นตอนประมูล และได้ราคาตามหลักเกณฑ์การแบ่งคุณภาพข้าว รัฐก็เสียหายจากข้าวไม่ได้คุณภาพ ในส่วนของเจ้าของคลังก็ต้องรับผิดชอบจากส่วนต่างราคา จึงต้องออกมาโต้แย้ง” นายเกรียงศักดิ์ กล่าว
อย่างไรก็ดี ขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพข้าวที่ผ่านมา จะยึดหลักมาตรฐานการตรวจสอบของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งทุกฝ่ายยอมรับในมาตรฐานนั้น เนื่องจากใช้คัดเกรดข้าวไทยมานาน แต่กรณีที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ในฐานะเจ้าของคลังต้องการทราบ หลักเกณฑ์ที่กรมการค้าต่างประเทศ นำมาคัดเกรดข้าวแบ่งกลุ่ม เอ, บี,ซี และข้อจำกัด ที่ไม่สามารถนำข้าวไปประมูลเพื่อการบริโภคได้ ดังนั้นหากมีข้อโต้แย้งเช่นนี้ รัฐบาลประเมินแล้วว่าการเริ่มขั้นตอนตรวจสอบคุณภาพข้าวใหม่ไม่ได้เสียหาย ก็น่าจะพิจารณากลับมาตรวจสอบให้ทุกฝ่ายเห็นพร้อม และยอมรับได้
“การตรวจสอบต้องกลับไปดูว่าใครเป็นผู้ตรวจสอบ ตัวอย่างได้ไปอย่างไร กระบวนการดำเนินต่ออย่างไร ตอนคัดคุณภาพเจ้าของคลังเห็นชอบหรือไม่ เมื่อเจ้าของคลังไม่รู้เกณฑ์การคัดเกรดข้าวได้ดำเนินการโต้แย้งไหม แต่เมื่อดำเนินการมาถึงขั้นตอนนี้แล้ว เมื่อมีคนโต้แย้ง ก็ต้องตั้งคำถามกับรัฐบาลว่าจะเสียหายไหม ถ้าดำเนินการตรวจสอบคุณภาพข้าวอีกครั้ง เพราะหากพบว่าข้าวคุณภาพดีมากกว่าจะอยู่ในเกรดซี รัฐบาลก็ได้ประโยชน์จากการประมูลใหม่”
นางวนิดา ดำรงค์ไชย ตัวแทนคลังข้าวถาวรโชคชัย จังหวัดสระบุรี กล่าวว่า คลังถาวรโชคชัย มีข้าวที่รับฝากจากโครงการรับจำนำข้าวตั้งแต่ปี2556/57 ปริมาณรวม 7.9 หมื่นกระสอบ เป็นข้าวขาว 5% แบ่งเป็นข้าวเกรดเอ (ข้าวที่ผิดมาตรฐานแต่ยังปรับปรุงเพื่อการบริโภคได้) จำนวน 2 กอง และข้าวเกรดซี (ข้าวที่ผิดมาตรฐานมาก) จำนวน 2 กอง แต่สภาพข้าวขณะนี้ทั้ง 4 กอง เป็นข้าวที่สามารถปรับปรุงคุณภาพให้คนบริโภคได้ เพราะจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ดูทั้งทางกายภาพและรูปลักษณ์ข้าว ยืนยันว่าสามารถปรับปรุงและแพ็คขายได้
“เมื่อต้นปี2560 คลังนี้ถูกจำหน่ายไปเป็นข้าวที่ใช้ในอุตสาหกรรมตามเกณฑ์ของภาครัฐที่ระบุว่า ข้าวเกรดซี เกิน 50% ทั้งคลังต้องระบายสู่อุตสาหกรรมทาง เรายืนยันว่าที่ผ่านมาไม่ได้หนังสือยืนยันผลการตรวจสอบคุณภาพข้าวจากทางภาครัฐ และพยายามทำหนังสือคัดค้านมาตลอดว่าข้าวในคลัง ไม่ใช่เกรดซี แต่สามารถปรับปรุงให้คนกินได้ที่ออกมาเคลื่อนไหวช่วงนี้ ก็เพราะข้าวในคลังได้เปิดประมูลไปเมื่อต้นปีมีคนเสนอซื้อแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องยอมรับไม่ได้”
นับตั้งแต่ปี 2557-2559 ยังพบว่าข้าวในคลังถาวรโชคชัย ยังไม่มีการเปิดประมูลเลย ปัจจุบันข้าวในคลังยังไม่ได้ทำสัญญาซื้อขาย และยังมีของกลางอยู่ จึงขอความกรุณาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปเปิดดู และช่วยพิจารณาตัดสินว่าข้าวในคลังเป็นอย่างไรส่วนตัวพร้อมยืนยันว่าการออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมืองแต่อย่างใด
ด้านนายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า มาตรฐานการตรวจสอบข้าวที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการอยู่ ถือเป็นมาตรฐานในระดับสากลแล้ว ต้องยอมรับว่าข้าวที่อยู่ในสต็อกรัฐบาลจากการประมูลปริมาณ 18 ล้านตัน ไม่สามารถตรวจสอบครบทั้ง 100% ได้ หากจะทำเช่นนั้นก็ต้องใช้เวลานานประมาณ 40 ปี ดังนั้นรัฐบาลจึงเลือกใช้วิธีสุ่มตรวจกองละ 5-10% เพื่อแยกคุณภาพข้าวดีและข้าวเสื่อม ก่อนที่จะนำออกมาแบ่งข้าวเสื่อม และแบ่งออกเป็นกลุ่ม เอ บี ซี เพื่อเปิดประมูลข้าวตามคุณภาพ
อย่างไรก็ดี ส่วนตัวเชื่อว่าเจ้าของโกดังต้องรับทราบกระบวนการตรวจสอบ แบ่งเกรดคุณภาพข้าวอยู่แล้ว แม้จะไม่ทราบก็สามารถสอบถามได้ แต่สิ่งที่เจ้าของโกดังเป็นห่วงอยู่ขณะนี้ น่าจะเป็นการรับผิดชอบกรณีที่ต้องถูกฟ้องร้องค่าเสียหาย ส่วนต่างจากการจัดเก็บข้าวที่คุณภาพถูกปรับเปลี่ยนไป อาทิ จากข้าวขาว 5% เหลือเป็นปลายข้าว ดังนั้นอยากให้ทุกฝ่ายยอมรับขั้นตอนการตรวจสอบข้าวของรัฐบาลที่ใช้มานานแล้ว และเป็นมาตรฐานสากลมากกว่า เพราะหากทุกฝ่ายยอมรับได้ ขั้นตอนประมูลก็เดินหน้าต่อ เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมข้าว และลดแรงกดดันด้านราคา
“เรื่องการประมูลข้าวสต็อกรัฐบาล หากมองในมุมผู้ซื้อก็ต้องยอมรับว่ามีความเสี่ยงเช่นเดียวกัน เพราะหากข้าวที่ประมูลมาถูกตีเป็นข้าวเกรดเอ แต่เมื่อซื้อมาแล้วเป็นข้าวเกรดบี และซีปนอยู่ ก็ต้องยอมรับความจริง ยอมรับตามมาตรฐานตรวจสอบของรัฐบาล อีกทั้งการประมูลตามมาตรฐานครั้งนี้ก็รอบคอบพอสมควรในเรื่องของข้าวกลุ่มบี และซี ต้องไม่ถูกนำกลับมาเข้าอุตสาหกรรมเพื่อการบริโภคของคนอีก ดังนั้นจึงไม่น่ากังวลสำหรับการซื้อข้าวถูกและนำกลับมาขายแพงเพื่อทำกำไร ในฐานะผู้ส่งออกข้าวจึงมองว่าภาครัฐควรเดินหน้าขั้นตอนประมูลต่อ เพราะหากล่าช้าไปอีก ก็ต้องแบกรับภาระค่าเช่า ข้าวเสื่อมไปอีก”
ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า หากต้องตรวจสอบข้าวในโกดังครบทุกกระสอบ โครงการรับจำนำมี 18 ล้านตัน หรือ 180 ล้านกระสอบ ต้องใช้พื้นที่ราว 5 พันไร่ ในการจัดเก็บ แรงงานในการขนย้าย แยกกองข้าวอีกไม่ต่ำกว่าวันละ 1-2 พันคน ค่าจัดเก็บ และดูแลรักษา ที่ผ่านมาเฉลี่ยปีละ 2 หมื่นล้านบาท ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้ถึงได้หาวิธีที่รวดเร็ว กระทบต่องบประมาณภาครัฐให้น้อยที่สุดคือการสุ่มตรวจข้าว ซึ่งก็เป็นมาตรฐานสากล
“เห็นด้วยกับการที่อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ยืนยันว่าจะไม่ตรวจสอบคุณภาพข้าวตามที่มีการเรียกร้องอีก เพราะหากตรวจสอบโกดังนี้ซ้ำก็ต้องมีการเรียกร้องให้ตรวจสอบโกดังอื่นๆ ทำให้การระบายข้าวชะงัก และรัฐบาลต้องรับภาระค่าใช้จ่ายต่อ ปัญหาไม่จบ และคุณภาพข้าวก็ยิ่งจะเสื่อมไปเรื่อยๆ ส่วนกรณีที่มีคนออกมาบอกว่ารัฐบาลชุดนี้ขายข้าวขาดทุนนั้น ในฐานะผู้ส่งออกได้ให้ความเห็นมาตลอดว่ารัฐบาลขาดทุนตั้งแต่วันแรก ที่รัฐบาลชุดก่อนซื้อข้าวจากชาวนามาเก็บไว้ในโกดังแล้ว มันมีค่าใช้จ่ายมากมาย และการขายข้าวแต่ละครั้ง เราไม่สามารถกำหนดราคาขายได้เองอยู่แล้ว มีแต่จะกดราคาให้ข้าวในท้องตลาดตกต่ำลงไป”
ร.ต.ท.เจริญ กล่าวว่าที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบในบางโกดัง พบว่ามีข้าวหลากหลายประเภทอยู่ในโกดังเดียวกัน และเป็นข้าวผิดประเภทไม่ตรงกับเอกสารก็มี แสดงให้เห็นว่าการสุ่มตรวจของรัฐบาลชุดก่อนก็ใช้วิธีเดียวกัน คือสุ่มตรวจไม่ได้ตรวจทุกกระสอบ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ก็ดำเนินการเช่นกัน เมื่อตรวจสอบพบว่า 3% เป็นข้าวประเภทใดก็ต้องเหมาทั้งคลังว่าเป็นข้าวประเภทนั้น เราไม่สามารถแยกกองออกมาขายทีละกองๆ ได้ จึงอยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจในจุดนี้ ก่อนที่จะโจมตีหรือโยงไปเรื่องการเมือง
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #51 เมื่อ:
สิงหาคม 03, 2017, 10:54:41 PM »
เปิดโผ 10 บริษัทใหญ่อสังหาฯนอกตลาดช่วงครึ่งแรกปี 2560 ครองส่วนแบ่งตลาดรวมกันถึง 10% ของทั้งตลาด โดย ชัยพัฒนาที่ดิน ครองอันดับหนึ่ง มีโครงการวมมูลค่า 3,587 ล้านบาท
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส เปิดเผยว่า จากการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลที่เปิดใหม่ทั้งหมดประมาณ 198 โครงการที่เปิดใหม่ในช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย. 2560 บริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ที่มีการเปิดตัวสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่
อันดับที่ 1 บจก.ชัยพัฒนาที่ดิน โดยพัฒนาโครงการ 1 แห่ง มีหน่วยรวม 924 หน่วย รวมมูลค่า 3,587 ล้านบาท หรือมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 3.882 ล้านบาท มีแชร์อยู่ในตลาด 1.7% ทั้งนี้สินค้าที่พัฒนาเป็น อาคารชุด ได้แก่โครงการเดอะ เพรสซิเด้นท์ สุขุมวิท-สมุทปราการ
อันดับที่ 2 บจก.นายารา จรัญ โดยพัฒนาโครงการ 1 แห่ง มีหน่วยรวม 683 หน่วย รวมมูลค่า 1,975 ล้านบาท หรือมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.892 ล้านบาท มีแชร์อยู่ในตลาด 1.3% ทั้งนี้สินค้าที่พัฒนาเป็น อาคารชุด ได้แก่โครงการเดอะ พาร์คแลนด์ จรัญ-ปิ่นเกล้า (อาคารซี)
อันดับที่ 3 บจก.เจ.ซี.อาร์.แลนด์ โดยพัฒนาโครงการ 2 โครงการมีหน่วยรวม 644 หน่วย รวมมูลค่า 762 ล้านบาท หรือมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 1.183 ล้านบาท มีแชร์อยู่ในตลาด 1.2% ทั้งนี้สินค้าที่พัฒนาเป็น ทาวน์เฮาส์และตึกแถว ได้แก่โครงการเฟื่องฟ้าวิลล่า โครงการ 17 เฟส 2 และโครงการเฟื่องฟ้าวิลล่า โครงการ 17 เฟส 4
อันดับที่ 4 บจก.ชาแลน ดีเวลอปเม้นท์ โดยพัฒนาโครงการ 1 แห่ง มีหน่วยรวม 553 หน่วย รวมมูลค่า 1,121 ล้านบาท หรือมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.028 ล้านบาท มีแชร์อยู่ในตลาด 1.0% ทั้งนี้สินค้าที่พัฒนาเป็น อาคารชุด ได้แก่โครงการ POLY PLACE พหลโยธิน 23
อันดับที่ 5 บจก.เมโทรโพลิส พรอพเพอร์ตี้ โดยพัฒนาโครงการ 1 แห่ง มีหน่วยรวม 552 หน่วย รวมมูลค่า 2,043 ล้านบาท หรือมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 3.701 ล้านบาท มีแชร์อยู่ในตลาด 1.0% ทั้งนี้สินค้าที่พัฒนาเป็น อาคารชุด ได้แก่โครงการเดอะ เมโทรโพลิส สำโรง อินเตอร์เชนจ์ อาคาร B
บริษัทพัฒนาที่ดินนอกตลาดหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่สุด
เรียงตามจำนวนหน่วยที่เปิดขาย ลำดับ
บริษัทจำกัด จำนวนโครงการ จำนวนยูนิต มูลค่า(ล้านบาท) % ในตลาด
1.ชัยพัฒนาที่ดิน 1 924 3,587 1.7%
2.นายารา จรัญ 1 683 1,975 1.3%
3.เจ.ซี.อาร์.แลนด์ 2 644 762 1.2%
4.ชาแลน ดีเวลอปเม้นท์ 1 553 1,121 1.0%
5.เมโทรโพลิส พรอพเพอร์ตี้ 1 552 2,043 1.0%
6.ปรีดา เรียลเอสเตท 1 550 797 1.0%
7.ไซมิส แอสเสท 1 449 3,786 0.8%
8.แกรนด์วิลล์ พัฒนา 2 426 1,061 0.8%
9.มานะพัฒนาการ 1 398 712 0.7%
10.ไพร์ซ ดีเวลลอปเม้นท์ 1 390 573 0.7%
ทั้งนี้ จะสังเกตได้ว่า ยังมีบริษัทนอกตลาดที่พยายามเติบโตขึ้นมาอีกมากพอสมควร และในตลาดอสังหาฯไม่มีใครจะเป็นเจ้าตลาดรายเดียวได้ นอกจากนี้โครงการนอกตลาดเหล่านี้เป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ หลายแห่งมีการพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าสูง และมีมูลค่าโครงการสูงมาก ดังนั้นจึงต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ หาไม่หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา (ถ้ามี) อาจทำให้สถาบันการเงินที่อำนวยสินเชื่อเกิดปัญหาได้เช่นกัน การพัฒนาโครงการจึงต้องมีการสำรวจวิจัยเพื่อการติดตามผลและประเมินผลการพัฒนาตามภาวะตลาดอย่างต่อเนื่อง
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #52 เมื่อ:
สิงหาคม 03, 2017, 10:55:17 PM »
ความฝันของ “My Cloud” ก็คือ ต้องการจะเป็นฮี่โร่ช่วยเอสเอ็มอีไทยบุกตลาดได้ทุกที่ทั้งไทยและต่างประเทศ ด้วยสโลแกน “ใครๆก็สามารถขายของ และ จัดการร้านค้าได้ง่ายๆ ด้วยระบบ MyCloudFulfillment
สุดท้ายไม่ใช่ไอเดียที่แปลกใหม่ เพราะสตาร์ทอัพที่ชื่อ "My Cloud" (มาย คลาวด์) พบว่าหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจอยู่ตรงที่ความได้เปรียบ แต้มต่อที่เหนือกว่าคนอื่น หรือ "Unfair Advantage"
ซึ่งว่าด้วยเรื่อง “Fulfillment” หรือเชื่อมโยงระบบการจัดการสินค้า ตั้งแต่การนำเข้าคลังสินค้า การแพ็คสินค้า และการจัดส่ง ทำให้การให้บริการขนส่งสินค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมันก็คือธุรกิจดั้งเดิมของครอบครัวผู้ร่วมก่อตั้งก็คือ “นิธิ สัจจทิพวรรณ”
แม้ว่าอินเตอร์เน็ตหรือ ออนไลน์กำลังมา Disrupt หรือเปลี่ยนธุรกิจแบบเดิมๆ จากการย่อโลกให้เล็กลงทำให้สามารถเชื่อมต่อคนทั้งโลกได้เพียงแค่เสี้ยววินาที และสร้างรูปแบบการค้าขายใหม่ๆ ทว่าจะมีอยู่ธุรกิจหนึ่งที่อาจยังมีชีวิตอยู่ได้ไม่ล้มหายตายจากไปง่ายๆ นั่นคือ การขนส่ง
เพราะระยะทางจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ หรือกรุงเทพไปญี่ปุ่น ก็ยังเท่าเดิม ดังนั้นตราบใดที่ยังไม่มีใครคิดค้นวิธีหรือเครื่องมือที่ทำให้สินค้า “วาร์ป” เดินทางจากที่หนึ่งไปโผล่อีกที่หนึ่งได้อย่างรวดเร็วเหนือแสงได้ ที่สุดแล้วก็ย่อมต้องอาศัย “คลัง” และ “คน” เพื่อช่วยในการขนส่งอยู่ดี
และกว่าจะเป็น My Cloud นิธิร่วมกับ “ธฤษ ตัณฑเสถียร” เพื่อนจากสถาบัน “Babson College” ที่ได้รับความยอมรับว่าเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลกด้านการสร้างผู้ประกอบการเริ่มต้นกันที่ธุรกิจจิวเวลลี่ออนไลน์มาก่อน
"สาเหตุมาจากพวกเราเปิดดูนิตยสารธุรกิจ Inc.ไล่ดูแล้วได้พบว่าจิวเวลลี่อยู่ในอันดับสองของธุรกิจที่น่าทำมากที่สุด ซึ่งตลาดเมืองไทยถือว่าใหญ่มากๆ แต่พอทำไปสักพักก็รู้ว่ามันเป็นธุรกิจที่ต้องใช้ทั้งเงิน และเวลาเป็นอะไรที่ค่อนข้างยาก อีกทั้งช่วงเวลาที่เราทำคือย้อนไปเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว คนไทยเองก็ยังไม่พร้อมจะซื้อของแพงๆบนออนไลน์"
ยอมรับว่าการทำธุรกิจจิวเวลลี่ออนไลน์ถือเป็นการดิ้นรนที่เพื่อแสวงหาโอกาสในโลกยุคใหม่ ทางกลับกันก็ทำให้พวกเขารู้ว่าโอกาสนั้นมีอยู่น้อยมากหากทำธุรกิจโดยปราศจากจุดแข็งที่จะทำให้อยู่เหนือกว่าคนอื่น
อย่างไรก็ดี แม้ถือว่าธุรกิจนี้ไม่สำเร็จ ในอีกมุมก็กลับช่วยทำให้ได้เห็นถึงความเข้มแข็งของธุรกิจเดิมของครอบครัวที่เข้ามาช่วยซัพพอร์ตในการจัดเก็บ แพ็คและจัดส่งจิวเวลลี่ ซึ่งช่วงเวลานั้น พวกเขาเองมองเห็นถึงเทรนด์การเติบโตของธุรกิจ Fulfillment ที่สหรัฐอเมริกาแล้วเช่นกัน แต่แน่นอนว่าตลาดเมืองไทยก็คงเป็นอะไรที่มาก่อนเวลา
"พวกเรามาฟอร์มแนวทางกันในปี 2557 แต่ลงมือทำกันจริงๆ เมื่อปี 2558 โดยเริ่มทดลองกับร้านค้าออนไลน์เล็ก ๆก่อน เพราะคิดว่าน่าจะดูแลได้ง่าย แต่ปรากฏว่ากลับดูแลได้ยากกว่า เพราะสินค้าแต่ละชนิดที่เขาขายมีไม่กี่ชิ้น จึงมักไม่ค่อยตรวจสอบคุณภาพของสินค้าก่อนนำเข้าคลังสินค้า สรุปว่าเขาก็เป็นมือใหม่เหมือนกับเราก็เลยเกิดปัญหาขึ้นเยอะ แต่มันช่วยทำให้เราเห็นแพทเทิร์นว่า เราควรต้องทาร์เก็ตลูกค้ากลุ่มไหน ควรให้บริการอะไรบ้างที่เราจะรับผิดชอบได้จริงๆ ควรต้องคิดราคาเท่าไหร่ เราก็ค่อย ๆเชฟมันออกมาได้"
ปัจจุบันลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของ My Cloud จึงไม่ใช่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่เพิ่งเริ่มต้นเข้าทำนองมือใหม่หัดขับ แต่ต้องทำธุรกิจมาประมาณหนึ่ง คือต้องเคยผ่านการลงมือทำกระบวนการต่างๆมาก่อน ทั้งเช็คสินค้าตรวจตราคุณภาพเป็น รู้ว่าต้องแพ็คอย่างไร ต้องส่งช่องทางใด ฯลฯ
"ลูกค้าเราจะเป็นกลุ่มธุรกิจที่กำลังเติบโต และพบปัญหาตรงที่เขาไม่มีเวลาเพียงพอ เมื่อก่อนเขาแพ็คเอง ส่งเอง แต่พอธุรกิจขยายตัว เขาก็ทำเองไม่ทัน เมื่อธุรกิจกำลังอยู่ในสเตทนี้เขาควรจะเอาเวลาไปทำการตลาด การขายแทนที่จะมานั่งทำเรื่องหลังบ้านด้วยตัวเอง"
ปัญหาสุดคลาสสิค 10 ข้อ ที่พวกเขารวบรวมมาเพื่อแสดงว่าธุรกิจขายของออนไลน์ที่กำลังอยู่ในขาขึ้นต้องประสบพบเจอ ได้แก่ 1.ขาดระบบการจัดการที่ดี ทุกอย่างมั่วปนเปไปหมด 2.ถ้าต้องสร้างคลังเอง ต้องลงทุนมหาศาล 3.ลูกค้ามากมาย ทำออร์เดอร์ส่งได้ช้า 4.หยิบสินค้าผิด แพ็คสินค้าพลาด ส่งผิด 5.ไม่มีเวลาคิดต่อยอดธุรกิจ 6.สต็อกปน หาของไม่เจอ 7.ขายของหลายช่องทาง แทนที่จะปังกลับพัง 8.ปวดหัวกับการจัดการลูกน้อง 9.เอกสารท่วมหัวเอาตัวไม่รอด และ10.ออร์เดอร์เหวี่ยงขึ้น ๆลง ๆ
โดยความฝันของ “My Cloud” ก็คือ ต้องการจะเป็นฮี่โร่ช่วยเอสเอ็มอีไทยให้บุกตลาดได้ทุกที่ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ ด้วยสโลแกน “ใครๆก็สามารถขายของ และ จัดการร้านค้าได้ง่ายๆ ด้วยระบบ MyCloudFulfillment
โดยจะมีบริการหลัก ๆอยู่ 3 บริการด้วยกัน นั่นคือ 1.บริการเก็บของ เป็นแวร์เฮาส์ระบบปิด ปลอดฝุ่น ไม่ร้อนอบอ้าว ทำการตรวจสอบการรับเข้า และจัดเข้าชั้นวางสินค้าที่มีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง มีการรับประกันสินค้า อีกทั้งลูกค้าสามารถตรวจเช็คสต็อคสินค้าได้ ทุกที่ ทุกเวลาบนระบบออนไลน์ 2. บริการแพ็คสินค้า ตามออร์เดอร์ที่กำหนด ป้องกันการเสียหายและ จัดเตรียมให้ถูกต้องตามขั้นตอนของแต่ละช่องทางการขาย มีขั้นตอนการตรวจสอบอย่างละเอียด และ 3. การจัดส่ง ทุกช่องทางตามที่ต้องการ ไม่ว่าจะส่งทางไปรษณีย์ , Kerry, นิ่มซี่เส็ง, พัสดุภัณฑ์ไทย, Lalamove ฯลฯ พร้อมกับจัดส่ง Tracking Number เพื่อให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะการจัดเตรียมและส่งของแต่ละออเดอร์ได้ทุกที่ ทุกเวลาเช่นเดียวกัน
“แรกๆ เราก็เกือบพลาด เคยมีพวกแชร์ลูกโซ่จะมาใช้ชื่อเราเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ทำให้ต้องระมัดระวังปัจจุบันเราจะมีสัญญากับลูกค้าที่ละเอียดมาก เราต้องรู้และมั่นใจว่าสินค้าที่เข้ามาในคลังเป็นอะไร ต้องเป็นสินค้าที่ถูกต้อง ได้รับมาตรฐานอย.หรือมอก. ไม่เป็นสินค้าอันตราย เพราะกฏหมายไทยยังไม่รองรับการทำธุรกิจแบบนี้มากนัก เราจึงต้องโปรเท็คตัวเองเต็มที่ให้มากที่สุด”
ปัจจุบันลูกค้าของ My Cloud มีอยู่ 120 ราย หลักๆจะขายสินค้ากลุ่ม อิเล็คทรอนิกส์ ,ซัพพลีเมนท์หรือพวกอาหารลดความอ้วน อาหารเสริมต่างๆ, กลุ่มสินค้าบิวตี้และแฟชั่น ทั้งยังคาดหวังว่ารายในปีนี้น่าจะเป็นไปตามเป้าหมายคือไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท
พวกเขามองว่า แนวโน้มภาพรวมธุรกิจค้าปลีกนั้นเป็นเรื่องของ “ออมนิชาแนล” ผู้ที่อยู่ในธุรกิจจึงไม่สามารถเลือกได้ว่าจะต้องเป็นออนไลน์หรือออฟไลน์ แต่ต้องใช้ทุกช่องทางเพื่อตอบสนองกับ Customer Journey เส้นทางหรือแนวทางในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของลูกค้าในยุคดิจิทัล
"สุดท้ายแล้วการซื้อของมันไม่มีออนไลน์หรือออฟไลน์ พอลูกค้าเห็นโฆษณาของเราบนเฟซบุ๊ค เขาก็อาจเดินไปดูของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต และไลน์ไปถามเพื่อนว่าสินค้าดีไหม แล้วไปดูรีวิวต่อที่พันทิป จากนั้นก็ไปดูราคาอีกทีที่ลาซาด้า สุดท้ายเขากลับซื้อที่ช้อปปี้ ถ้าคุณไม่ไปอยู่ในจุดที่เขาเดินผ่านและค้นหา คุณก็ขายของไม่ได้"
ส่วนแผนในอนาคตของ My Cloud นั้น พวกเขาบอกว่าจะเป็นเรื่องการนำเอาดาต้ามาวิเคราะห์เพื่อเจาะลึกถึงความพึงพอใจของลูกค้าเป็นรายบุคคล ซึ่งช่วยทำให้ธุรกิจของลูกค้าสามารถพัฒนาสินค้าหรือบริการได้ตอบโจทย์ความต้องการได้ดียิ่งขึ้น ยังมีเรื่องของการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ รวมถึงการรุกไปยังกลุ่มลูกค้านักธุรกิจต่างประเทศที่สนใจมาทำตลาดเมืองไทยด้วย
"ต้องบอกว่าเรากำลังมองหาเงินทุนอยู่ ที่ต้องการคือวีซีหรือนักลงทุนที่จะเข้ามาช่วยเหลือเสริมในเรื่องคอนเน็คชั่น เรามองหาคนมาช่วย มาวางแผนไปด้วยกัน ไม่ใช่คิดมาลงเงินแล้วเร่งโต เพราะเราต้องการจะค่อยๆเติบโตไปอย่างช้าๆ แต่มั่นคง ถ้ากระโดดเร็วไป ก้าวเร็วไปก็กลัวพลาด ซึ่งที่ผ่านมาเราแทบไม่ได้ทำการตลาดอะไรเลยแต่ก็ยังโตได้สิบเท่า "
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #53 เมื่อ:
สิงหาคม 03, 2017, 10:55:36 PM »
ความตั้งใจแรกจะเป็นเว็บไซต์ให้คนทั่วไปใช้ค้นหาบ้าน ผู้ร่วมก่อตั้ง “Jostein Aksnes” (โจสไตน์ อาคส์เนส) ซีอีโอและ “สัมพันธ์ พจนโสภณากุล” ซีทีโอ จึงใช้ชื่อแบรนด์ว่า “FindYourSpace” (ไฟด์ยัวร์สเปซ) ซึ่งน่าจะสื่อถึงธุรกิจที่ทำได้ตรงมากที่สุด
แต่ทำไปทำมากลับพบว่าบริษัทนายหน้า โบรกเกอร์ หรือเอเยนต์ต่างๆ ยังขาดระบบบริหารจัดการหลังบ้านที่ดี กระทั่งมีการเปลี่ยนโมเดลธุรกิจทำระบบที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ ยอมรับว่าไฟด์ยัวร์สเปซในอนาคตก็อาจต้องมีการรีแบรนด์กันใหม่
รวมถึงเดิมทีไฟด์ยัวร์สเปซก็ไปจดทะเบียนตั้งบริษัทที่ต่างประเทศตามสไตล์ของสตาร์ทอัพที่มองไกลว่าจะเอื้อไปถึงชอตการขยายตัวไปต่างประเทศ แต่สุดท้ายต้องก็มาตั้งบริษัทในประเทศไทย ทั้งนี้ก็เพื่ออำนวยความสะดวกในการจ่ายค่าบริการให้กับลูกค้าที่ส่วนใหญ่แล้วยังนิยมโอนเงิน หรือเขียนเช็คให้ เพราะยังไม่วางใจกับการจ่ายผ่านระบบออนไลน์
สัมพันธ์เล่าว่า ย้อนกลับไปเมื่อสามปีที่ผ่านมา แนวคิดไฟด์ยัวร์สเปซเกิดจากปัญหาที่ โจสไตน์ อาคส์เนส ซึ่งเป็นชาวนอร์เวย์และต้องเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทยต้องประสบพบเจอ คือไม่สามารถค้นหาที่พักในเมืองไทยได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ทันใจ เลยปิ๊งไอเดียและได้ชักชวนเขาซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานมาร่วมกันพัฒนาเว็บไซต์ให้มีระบบที่ดี มีประสิทธิภาพกว่าที่มีอยู่ในท้องตลาด
"พอเราเริ่มไปติดต่อลูกค้าที่เป็นนายหน้า โบรคเกอร์ เพื่อไปขอข้อมูลที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่เขาต้องการจะประกาศเช่าหรือขายเอามาลงในเว็บของเรา แล้วให้คนได้เข้ามาเสิร์ซหาเพื่อเช่า เพื่อซื้อกัน ซึ่งทุกรายต่างก็ยินดีให้ข้อมูลเพราะเราลงให้ฟรี ๆไม่คิดตังค์ แต่ก็พบว่าข้อมูลส่วนใหญ่ที่ได้มาเป็นกระดาษ เป็นไฟล์เอ็กเซล หรือเวิร์ด มันเลยลำบากที่จะแปลงข้อมูลเอามาลงในเว็บของเราอีกที เพราะข้อมูลของนายหน้าบางรายมีมากเป็น 4-5 พันรายการ"
โชคดีที่พอคิดเปลี่ยนคอนเซ็ปต์เปลี่ยนกลุ่มทาร์เก็ตเป็นนายหน้า พวกเขาก็ได้ลูกค้ารายแรกเป็น “รีแมกซ์” แฟรนไชส์อสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากอเมริกาที่ขยายธุรกิจเข้ามาในประเทศไทย
"ตอนนั้นเขามองหาระบบบริหารจัดการสำหรับแฟรนไชส์ของเขา เพราะระบบของเขาบางอย่างมันไม่โลคัลไรซ์สำหรับประเทศไทย เขาเลยตกลงมาเป็นพาร์ทเนอร์กับเรา คือเป็นลูกค้าด้วยและยังช่วยมาไกด์ มาให้คำปรึกษาเกี่ยวกับด้านอสังหาฯ รวมถึงระบบที่ธุรกิจนี้มีความต้องการใช้ เพราะเราเองไม่ได้อยู่ในธุรกิจนี้มาก่อน มีข้อจำกัด"
เมื่อให้อธิบายการทำงานของระบบ สัมพันธ์บอกว่า ระบบของไฟด์ยัวร์สเปซสามารถจัดการข้อมูลรายการอสังหาฯ ให้นายหน้าหรือโบรคเกอร์อัพโหลดรูปภาพและจำแนกว่าบ้านหรือสินค้าตั้งอยู่ที่ไหน มีขนาดเป็นอย่างไร มีกี่ห้องนอน กี่ห้องน้ำ อัพโหลดรูปภาพไว้ในที่เดียวกัน และสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา
"เมื่ออัพโหลดข้อมูลแล้วเวลาที่เขามีลูกค้าติดต่อว่าอยากได้คอนโดย่านอโศก ที่มีสองห้องนอนขึ้นไป ราคาเช่าเดือนละ 6 หมื่นบาทแต่ไม่เกิน 8 หมื่นบาท เขาก็สามารถใช้ระบบเสิร์ซของเราค้นว่าบริษัทของเขามีสินค้าในมือมีตัวไหนที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าบ้าง และด้วยระบบเป็นออนไลน์ เขาก็สามารถแชร์ผ่านเฟซบุ๊คหรือส่งอีเมลให้ลูกค้าดูได้ทันทีว่าสนใจสินค้ารายการนี้หรือไม่"
ซึ่งจะต่างไปจากยุคที่เป็นออฟไลน์ที่มีความยุ่งยาก ต้องทำหลายขั้นตอน คือกว่านายหน้า โบรคเกอร์ หรือเอเยนต์จะค้นเจอรายการบ้านที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าเจอ และกว่าจะต้องจัดทำเป็นเอกสารเพื่อส่งให้ลูกค้าดู ฯลฯ
"หากรายการสินค้าที่เขามียังไม่แมตซ์ตรงกับความต้องการของลูกค้า เขาก็สามารถเสิร์ซข้อมูลรายการของตัวแทนรายอื่นๆที่อยู่ในระบบของเราได้อีกด้วย เพื่อหารายการที่ตรงและก็ขอร่วมเป็นตัวแทน ร่วมแชร์ค่าคอมมิชชั่นกันกับตัวแทนรายอื่น ๆได้ ซึ่งมันจะช่วยทำให้รายได้บริษัทของเขาเพิ่มมากยิ่งขึ้น"
ประการสำคัญ ไฟด์ยัวร์สเปซยังสามารถลิงค์ข้อมูลให้ไปอยู่บนเว็บไซต์ยักษ์ใหญ่อสังหาฯของไทย เช่นดีดี พร็อพเพอร์ตี้ ,ฮิพแฟลต และไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อีกด้วย
“และเรายังช่วยเชื่อมไปที่เว็บอสังหาฯในประเทศจีน เพราะมีบริษัทนายหน้าบางรายก็มีความต้องการหาลูกค้าจีนด้วย ซึ่งเขาก็ไม่ต้องไปโพสต์ข้อมูลลงบนเว็บเอง เพียงแค่จัดการข้อมูลที่เราที่เดียว เราก็ช่วยจะซิงค์ข้อมูลไปให้ได้เลย”
ปัจจุบัน นายหน้า โบรคเกอร์ และเอเยนต์ที่อยู่บนระบบของไฟด์ยัวร์สเปซมีอยู่กว่า 30 ราย ซึ่งจะต้องจ่ายค่าบริการจัดการข้อมูลเป็นรายเดือนราคาเริ่มต้นที่เดือนละ 2 พัน
ถามว่ามีแผนพัฒนาระบบต่ออย่างไร สัมพันธ์บอกว่า กำลังพยายามทำให้แพลตฟอร์มมีความครอบคลุมการทำงานของลูกค้า สามารถมาทำงานบนระบบไฟด์ยัวร์สเปซเพียงที่เดียว
"ยกตัวอย่างเช่น เราจะให้เขาบริหารจัดการคอนแท็กลูกค้าของเขาจากแพลตฟอร์มของเราด้วย เราจะขอและพยายามเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าที่ติดต่อผ่านเขามาไว้ในระบบของเรา เพื่อเราจะนำมาวิเคราะห์และให้คำแนะนำเขาได้ ว่าลูกค้าของเขามีแนวโน้มจะสนใจอสังหาฯรูปแบบใด หรือมีแนวโน้มจะลงทุนอย่างไร"
ต้องบอกว่าไฟด์ยัวร์สเปซผ่านการระดมทุนในระดับ Seed Round มาแล้ว เบื้องต้นได้รับจากแองเจิ้ล ฟันด์ จากนั้นก็ได้เงินทุนของวีซีจากประเทศสิงคโปร์
“เราอยู่ในสเตทของการเติบโต เวลานี้เราก็มีการขยายทีมงานโดยเฉพาะทีมการตลาดและเซลล์”
“วิชิตา โขมรัตน์” ซึ่งเพิ่งเข้ามาร่วมทีมหมาดๆในฐานะผู้จัดการฝ่ายการตลาดบอกว่า ในความเป็นจริงนั้นไฟด์ยัวร์สเปซยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ดังนั้นแผนที่เธอคิดว่าก็คือ จำเป็นต้องบิวด์แบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น โดยหลักๆก็จะใช้โซเชียลมีเดีย เป็นช่องทางในการสื่อสารกับผู้บริโภค
สัมพันธ์บอกว่า ความตั้งใจของเขากับโจสไตน์ อาคส์เนส ผู้ร่วมก่อตั้งไม่ได้ต้องการให้ธุรกิจเติบโตแบบรวดเร็วหวือหวา แต่มองเรื่องความยั่งยืน ค่อยเป็นค่อยไป
"แผนการเติบโตของเรามีสองด้าน หนึ่ง เราจะขยายฐานลูกค้าไปกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ และตลาดบีทูซีด้วย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของ ฟรีแลนซ์เอเย่นต์ สอง เรามีแผนจะเอาโซลูชั่นนี้ไปให้ลูกค้าต่างประเทศลองใช้ดู เรากำลังมองหาพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งทำธุรกิจ ทำเว็บแบบนี้อยู่แล้วในตลาดต่างประเทศเพื่อขอเป็นพารทเนอร์กับเขา ซึ่งทางรีแมกซ์เขาก็มีแผนไปเปิดธุรกิจในประเทศใกล้เคียงกับไทย เราก็จะผูกติดไปกับเขาด้วย ก็อยู่ในระหว่างพูดคุย"
ส่วนในเรื่องของการแข่งขัน เขามองว่า แน่นอนบริการที่มีอยู่อาจมีบางส่วนอาจมีไปเหมือนของธุรกิจบางราย แต่เชื่อว่าไฟด์ยัวร์สเปซน่าจะถือเป็นรายแรกที่ทำได้ครอบคลุมและครบวงจรกว่า
"ยังมองไม่เห็นมีคนที่ทำได้ครบอย่างเรา แต่ก็ได้ยินมาว่ามีคนพยายามทำแต่ก็ยังทำไม่ได้ ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่มีใครครองส่วนแบ่งการตลาดได้อย่างมีนัยยะสำคัญ เราก็คิดว่าคู่แข่งมีอยู่ แต่ยังมีโอกาสจะเข้าไปแย่งส่วนแบ่งการตลาดได้เยอะกว่า"
ที่มีความเชื่อมั่นอย่างนี้ก็เพราะไฟด์ยัวร์สเปซมีความโดดเด่นตรงเทคโนโลยีที่ค่อนข้างทันสมัย ล้ำยุค ทุกอย่างสร้างอยู่บนคลาวด์เซอร์วิสที่รองรับการเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #54 เมื่อ:
สิงหาคม 03, 2017, 10:58:15 PM »
วันนี้อัพเดดเท่านี้นะครับ
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #55 เมื่อ:
สิงหาคม 06, 2017, 10:09:16 PM »
เคอรี่ฯ จับมือ “ออฟฟิศเมท” เปิดบริการ OfficeMate x Kerry Express รับส่งพัสดุด่วนในร้าน 37 สาขาปีนี้และ 80 สาขาทั่วประเทศปี 2561
นายอเล็กซ์ อึ้ง ผู้อำนวยการบริหารสายงานธุรกิจรับ-ส่งพัสดุ เคอรี่ โลจิสติกส์ กรุ๊ป ประจำสาขาประเทศไทย กล่าวว่า เป้าหมายของเคอรี่ เอ็กซ์เพรสปีนี้ต้องการเพิ่มช่องทางในการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ามากขึ้น ทางบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้ร่วมกับบริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) เปิดให้บริการส่งพัสดุด่วนในร้านออฟฟิศเมท ซึ่งถือเป็นก้าวแรกที่จะพาเคอรี่เข้าสู่ฐานลูกค้าต่าง ๆ ในทุกที่ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจออนไลน์รายย่อยและกลุ่มธุรกิจ SMEs ซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าเดียวกันกับออฟฟิศเมท
ปัจจุบันบริษัทเคอรี่ เอ็กซ์เพรสมีจุดที่ให้บริการส่งพัสดุสำหรับบุคคลทั่วไปกว่า 300 สาขาทั่วประเทศ รวมทั้งศูนย์กระจายสินค้าและคัดแยกสินค้าอีกเกือบ 400 แห่ง กระจายอยู่ทุกพื้นที่ และเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่กำลังขยายเพิ่มขึ้น ทางเคอรี่ฯได้สร้างศูนย์กระจายสินค้าใหม่ที่ปทุมธานี-บางปะอิน เพิ่งแล้วเสร็จปลายเดือนกรกฎาคม 2560 สามารถรองรับพัสดุ 200,000 ชิ้นต่อวัน นอกจากนี้ มีแผนจะขยายศูนย์กระจายสินค้าไปยังฝั่งตะวันตกเพิ่มขึ้นด้วย ส่วนศูนย์กระจายสินค้าบางนามีการปรับปรุงขยายพื้นที่เพิ่มเติมเช่นกัน เมื่อทุกโครงการแล้วเสร็จ ปลายปีนี้ศูนย์กระจายสินค้าทั้งหมดจะสามารถรองรับพัสดุได้ถึง 500,000 ชิ้นต่อวัน
นายวรวุฒิ อุ่นใจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ออฟฟิศเมทได้จับมือกับบริษัทเคอรี่ เอ็กซ์เพรส เปิดให้บริการOfficeMate x Kerry Express บริการส่งพัสดุด่วนในร้านออฟฟิศเมทที่ครบครันด้วยอุปกรณ์แพ็กกิ้งมากที่สุด ถือเป็นการตอบโจทย์ทั้งแพ็กและส่งในที่เดียว พร้อมชูจุดเด่น “ส่งพัสดุด่วนทั่วไทย ถึงวันถัดไป ถูกใจ ง่าย เร็ว” รองรับการขยายตัวของธุรกิจออนไลน์รายย่อยและกลุ่มธุรกิจ SMEs อย่างเต็มรูปแบบการเพิ่มบริการทางธุรกิจ
“บริการส่งพัสดุเป็นการตอกย้ำให้ออฟฟิศเมทเป็น “One Stop Business Solutions” หรือ “ที่เดียวครบ ตอบโจทย์ทุกธุรกิจ” คือ เจ้าของกิจการสามารถซื้ออุปกรณ์สำนักงานและธุรกิจ รวมถึงส่งพัสดุให้ลูกค้าได้ที่ร้านออฟฟิศเมทแบบครบและจบในที่เดียว จุดเด่นของบริการ เป็นการส่งมอบความสะดวกสบายให้กับผู้ส่งพัสดุ เพราะสาขาส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในศูนย์การค้า มีที่จอดรถ และรวดเร็ว เพราะใช้เทคโนโลยีในการลดขั้นตอนการกรอกข้อมูล ประหยัดเวลาที่จุดบริการ และพิเศษสุดคือ OfficeMate x Kerry Express คิดราคาตามขนาดกล่อง โดยไม่ใช้ปัจจัยด้านน้ำหนักในการคำนวณค่าบริการ (น้ำหนักไม่เกิน 25 กิโลกรัม) โดยมีราคาค่าส่งพัสดุเริ่มต้นเพียง 35 บาท”
สำหรับแผนธุรกิจบริการส่งพัสดุด่วน OfficeMate x Kerry Express ขณะนี้เปิดให้บริการในร้านออฟฟิศเมทจำนวน 11 สาขา ในกรุงเทพฯและปริมณฑล และเตรียมขยายพื้นที่การให้บริการในร้านออฟฟิศเมทเป็น 37 สาขาภายในสิ้นปีนี้ โดยจะเปิดให้บริการรวมกว่า 80 สาขาทั่วประเทศภายในปี 2561 ซึ่งจะทำให้ร้านออฟฟิศเมทมีจำนวนลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากขึ้นมากกว่า 15% และยอดขายที่ร้านออฟฟิศเมทเติบโตอีก 15-20% ในปี 2561
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #56 เมื่อ:
สิงหาคม 06, 2017, 10:11:03 PM »
ปตท.ส่อวืดโปรเจ็กต์คลังก๊าซลอยน้ำ (FSRU) ในพื้นที่จะนะ-กันบ่อก เมียนมา หลังรัฐเตรียมเปิดเสรีธุรกิจก๊าซธรรมชาติเฟสแรก ก.ย.นี้ อาจเปิดทางผู้เล่นรายใหม่เข้าตลาด ล่าสุดมีเพียง “กฟผ.-กัลฟ์ฯ” ด้าน กฟผ.ต้องตั้งบริษัทใหม่พร้อมแยกบัญชีออกจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า คาดนำเข้าก๊าซลอตแรกปี “61 รองรับการผลิตไฟเป็นหลัก
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่จะเริ่มดำเนินการในเดือนกันยายน ด้วยการเปิดให้เอกชนรายอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ที่สนใจเป็นผู้นำเข้า รวมถึงค้าส่ง ค้าปลีก รวมถึงเข้ามาขอ “จองใช้” คลัง และระบบท่อก๊าซธรรมชาติเหลว โดยเฉพาะในส่วนขยายเพิ่มอีก 1.5 ล้านตัน บริเวณมาบตาพุด จังหวัดระยอง นั้น ล่าสุดกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติมีแนวคิดที่อาจจะเปิดให้เอกชนรายอื่น ๆ ที่มีความพร้อมเป็นผู้พัฒนาใน 2 โครงการที่ได้ให้ ปตท.ศึกษาความเหมาะสมเบื้องต้นไปก่อนหน้านี้ คือ 1) โครงการคลังก๊าซลอยน้ำหรือ FSRU (Floating Storage Regasification Unit) ในพื้นที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา กำลังผลิต 2 ล้านตัน ที่คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 26,000 ล้านบาท และ 2) โครงการคลังก๊าซลอยน้ำในพื้นที่กันบ่อก ประเทศเมียนมา กำลังผลิต 3 ล้านตัน คาดใช้เงินลงทุน 28,000 ล้านบาท อีกด้วย
ทั้งนี้ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อเร็ว ๆ นี้ (31 ก.ค.2560) ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้เพียงแต่ “รับทราบ” รายงานการศึกษาทั้ง 2 โครงการเท่านั้น แต่ไม่ได้อนุมัติให้ ปตท.เป็นผู้ดำเนินการ เนื่องจากก่อนหน้านี้ ปตท.ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำเข้าก๊าซ LNG ในสัญญาระยาว (Long Term) แล้วในหลายสัญญา รวมกำลังผลิต 5 ล้านตันไปแล้ว ซึ่งหลังจากนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลภาพรวมทั้งหมดของกิจการก๊าซธรรมชาติ จะต้องพิจารณาความเหมาะสมว่าจะให้ใครเป็นผู้ลงทุนใน 2 โครงการดังกล่าว ทั้งนี้ กพช.ได้อนุมัติโครงการคลังก๊าซลอยน้ำบนพื้นที่อ่าวไทย กำลังผลิต 1.5 ล้านตัน ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ไปแล้ว ซึ่งปริมาณก๊าซทั้งหมดจะนำมาเพื่อรองรับการใช้ในโรงไฟฟ้าของ กฟผ.คือ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ พระนครใต้ และโรงไฟฟ้าบางปะกง รวมถึงอาจจะมีการส่งให้ลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมในอนาคต
“การให้ ปตท.ศึกษาความเหมาะสม ไม่ได้หมายความว่าจะให้ ปตท.เป็นผู้ลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนโยบายชัดเจนว่าจะเปิดเสรีจึงต้องดำเนินการให้สอดคล้องกัน แต่หากไม่มีเอกชนรายอื่นที่มีความพร้อมก็อาจจะต้องใช้กลไกอย่าง ปตท.เป็นผู้ดำเนินการ เพราะในอนาคตความต้องการใช้ก๊าซ LNG ในประเทศจะเพิ่มขึ้นแน่นอน”
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า เร็ว ๆ นี้กรมเชื้อเพลิงฯ ยังเตรียมที่จะนำเสนอรายละเอียดของการบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ (LNG National Plan : portfolio) ที่กำหนดสัดส่วนของการนำเข้าก๊าซ ทั้งจากสัญญาระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ไว้อย่างชัดเจน รวมถึงการกำหนดเพดานราคาก๊าซขั้นต่ำของผู้นำเข้าให้อยู่ในระดับที่เหมะสมต่อ กพช.เพื่อให้การนำเข้ามีประสิทธิภาพสูงสุด
ด้านนายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กล่าวว่า ส่วนของการให้ใบอนุญาตเพื่อประกอบกิจการก๊าซนั้น ขณะนี้มีเพียง 2 รายที่ได้รับใบอนุญาตในการทำธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีกก๊าซธรรมชาติ คือ กฟผ. และกลุ่มกัลฟ์ฯ (ผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ หรือ IPP) ซึ่งในส่วนขยายอีก 1.5 ล้านตันดังกล่าว ปตท.ก็ยังสามารถเข้ามาจองใช้เหมือนกับรายอื่น ๆ เช่นกัน ในส่วนของ กฟผ.ที่จะต้องดำเนินการเพิ่มเติมคือ จะต้องไปดำเนินการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่เพื่อรองรับธุรกิจการนำเข้าก๊าซ และต้องแยกบัญชีออกจากธุรกิจไฟฟ้าเพื่อความโปร่งใส
“ตอนนี้อาจจะยังมองไม่ออกว่ามันแข่งขันหรือไม่อย่างไร เพราะตลาดไฟฟ้าของไทยไม่มีการแข่งขัน ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปี วันนี้ก็ถือว่าเราได้เริ่มนับหนึ่งสำหรับการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซแล้ว ส่วนการเข้าสู่การเปิดเสรีในระยะที่ 2-3 จะเกิดขึ้นเมื่อไรนั้น จะต้องดูว่าระบบที่เริ่มเดินไปแล้ววันนี้มันจะเวิร์กหรือไม่”
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #57 เมื่อ:
สิงหาคม 06, 2017, 10:12:00 PM »
ชง กกร. 7 ส.ค.นี้ ออกประกาศคุมเข้มพ่อค้าพืชไร่จดทะเบียนแจ้งปริมาณสถานที่จัดเก็บ หลังเกษตรกรร้องเรียนราคาผลผลิตตกต่ำ ด้านสมาคมพ่อค้าพืชไร่รับสนองมาตรการของภาครัฐ ขีดเส้น 3 เดือนหากราคาข้าวโพดไม่ปรับขึ้น รัฐควรทบทวนมาตรการใหม่
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กรมเตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ซึ่งมีนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธาน ในวันที่ 7 สิงหาคม 2560 เพื่อออกประกาศตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการพ.ศ. 2542 กำหนดให้ผู้ค้า และผู้ประกอบการค้าพืชไร่ เช่น ลานมันลานเทปาล์มน้ำมัน และผู้รับซื้อข้าวโพด ให้แจ้งปริมาณ และสถานที่จัดเก็บเพื่อให้สามารถตรวจสอบติดตามดูแลผู้ที่อยู่ในระบบการซื้อขายตามบัญชีที่เกิดขึ้นได้
“ที่ผ่านมามีเกษตรกรร้องเรียนว่าไม่ได้รับราคาที่เหมาะสมตามที่ภาครัฐกำหนด เช่น คุมราค่าปลายทาง แต่เกษตรกรต้นทางขายได้ราคาต่ำ เกิดคำถามว่า แล้วกลางทางได้เท่าไร น่าจะดูแลกลางทางด้วย เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ดูแลเกษตรกร ต่อไปหากไม่แจ้งก็จะมีความผิดตามกฎหมายราคาสินค้าฯ” นางนันทวัลย์กล่าว
ต่อข้อถามที่ว่า กรณีที่มีการกำหนดราคาแนะนำที่รับซื้อแล้ว โรงงานอาหารสัตว์ไม่รับซื้อ โดยอ้างว่าเกษตรกรไม่มีเอกสารสิทธิ์เกี่ยวกับการใช้ที่ดินที่ถูกกฎหมาย ทำให้เกษตรกรกว่า 40-50% ไม่สามารถจำหน่ายข้าวโพดให้กับโรงงานอาหารสัตว์ได้นั้น นางนันทวัลย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดูแลอยู่แล้ว โดยมีการแบ่งโซนพื้นที่ อาจจะมีการผ่อนปรนให้กับบางพื้นที่ หรือบางพื้นที่ที่เป็นต้นน้ำที่จะต้องดูแลรักษาผืนป่าต้นน้ำ
นายทรงศักดิ์ ส่งเสริมอุดมชัย นายกสมาคมการค้าพืชไร่ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สมาคมยินดีให้ความร่วมมือและจะประชาสัมพันธ์ให้พ่อค้ารายงานตามที่กรมการค้าภายในออกประกาศ เพื่อให้สามารถตรวจสอบการซื้อ-ขายสินค้ากับเกษตรกรได้ เพราะหลายปีที่ผ่านมา มีพ่อค้าพืชไร่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ทางสมาคมเชื่อมั่นว่าพ่อค้าพืชไร่จะไม่โกงเกษตรกรผู้ปลูก เพราะต้องอาศัยและพึ่งพากันและกันมาตลอด ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากผู้ซื้อคนสุดท้าย ทั้งที่เป็นผู้ใช้และผู้ส่งออกที่มีต่างชาติเป็นนอมินีเป็นผู้กำหนดราคารับซื้อ ที่มีพฤติกรรมเอาเปรียบด้วยการซื้อสินค้าจากต่างประเทศที่มีราคาถูกหลากชนิดและคุณภาพต่ำมาใช้แทนสินค้าข้าวโพด
อย่างไรก็ตาม หากเวลาผ่านไปประมาณ 3 เดือนแล้วเกษตรกรยังเดือดร้อนจากปัญหาราคาตกต่ำ อยากขอให้หน่วยงานราชการพิจารณาปรับเปลี่ยนวิธีการแก้ไขตรงนี้ เพราะอาจเป็นการแก้ไม่ถูกจุด โดยสมาคมการค้าพืชไร่ ขอเสนอให้กระทรวงพาณิชย์นำมันเส้นบรรจุไว้ในรายการที่โรงงานอาหารสัตว์ต้องซื้อ 3 ส่วน ให้สิทธินำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน แบบเดียวกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และเสนอให้ควบคุม DDGs เหมือนข้าวสาลี
แนวโน้มสถานการณ์การตลาดในช่วงนี้ได้รับแรงกดดันจากการตรวจสอบข้าวโพดตามชายแดน และการนำเข้าข้าวสาลี ส่งผลให้ราคามีแนวโน้มอ่อนตัวไปตามสภาวะ ปริมาณที่ออกสู่ตลาด ในเดือนสิงหาคมคงจะออกสู่ตลาด 170,000-180,000 ตัน เช่น จังหวัดน่าน พะเยา และแพร่ ส่วนข้าวโพดนำเข้าจากกัมพูชาคงจะลดลงเหลือไม่เกิน 200,000 ตัน เพราะแรงกดดันราชการที่ตรวจสอบอย่างเข้มงวด
รายงานข่าวระบุว่า มีการนำเข้าข้าวสาลีมาเพิ่มในวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 60,000 ตัน และวันที่ 5 สิงหาคม 2560 อีก 50,000 ตัน รวม 110,000 ตัน คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกร
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #58 เมื่อ:
สิงหาคม 06, 2017, 10:12:48 PM »
นางมาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมฯร่วมกับศูนย์สร้างโอกาสธุรกิจไทยสู่จีน (Thailand Smart Trade Center) และ JD.com เว็บไซต์ E-Commerce ยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของจีน ชวนผู้ประกอบการร่วมกิจกรรม “ส่งเสริมสินค้าไทยเพื่อเข้าสู่ช่องทาง E-Commerce ร่วมกับ JD.com” ในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ ที่กระทรวงพาณิชย์(สนามบินน้ำ) เพื่อได้เรียนรู้เคล็ดลับการทำการค้าออนไลน์ในประเทศจีน เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ จากผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดจีน ได้แก่ บริษัท Jingdong เจ้าของ JD.com เว็บไซต์ E-Commerce รายใหญ่ของจีน และศูนย์ TSTC ซึ่งเป็นศูนย์แสดงสินค้าไทยและสินค้าที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thailand Trust Mark(T Mark) ในเมืองโฝซาน มณฑลกวางตุ้ง โดยปัจจุบันมี 61 บริษัทนำสินค้าไทยเข้าร่วมโครงการนี้ พร้อมกันนี้ แนะนำ“Thailand Pavillion”หน้าร้านสินค้าไทยคุณภาพบนเว็บไซต์ JD.com ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม E-Commerce แบบธุรกิจถึงผู้บริโภคโดยตรงของจีน ซึ่งกรมฯหวังให้เป็นช่องทางส่งเสริมให้ผู้ประกอบการจำหน่ายสินค้าโดยตรงไปยังผู้บริโภคในตลาดจีน
ทั้งนี้ จีนถือเป็นตลาดค้าปลีกออนไลน์ใหญ่ที่สุดในโลก โดยปี 2559 สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน ระบุว่า มูลค่าการขายสินค้าออนไลน์จีนสูงถึง 5.16 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 25.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.2% จากปี 2558 และสูงกว่าอัตราการขยายตัวของยอดค้าปลีกรวมกว่า 2 เท่า ดังนั้น ตลาดออนไลน์จีนเป็นโอกาสธุรกิจที่สดใสสำหรับผู้ประกอบการทั่วโลก รวมทั้งไทย แต่ก็มีความท้าทายสูงเพราะเป็นตลาดขนาดใหญ่มาก ผู้บริโภคมีความต้องการที่หลากหลาย
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #59 เมื่อ:
สิงหาคม 06, 2017, 10:16:21 PM »
ประมูลส้มตำฝีมือ รมว.ท่องเที่ยวฯ 15,000 บาท หาเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในงานมหกรรมโคราชลดทั้งเมือง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 6 สิงหาคม 2560 เวลา 11.00 น. ที่ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานเปิดงานผักผลไม้ลดทั้งเมือง ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมโคราชลดทั้งเมือง ที่หอการค้าจังหวัดนครราชสีมาได้จัดขึ้น โดยจะมีขึ้นไปจนถึงวันที่ 20 สิงหาคม 2560 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยการส่งเสริมสนับสนุนสินค้าเกษตรกรรมในจังหวัดนครราชสีมาให้มีช่องทางการตลาด และให้ประชาชนสามารถเลือกซื้อสินค้าเกษตรกรรมที่มีคุณภาพ และราคาถูกกว่าตามท้องตลาดทั่วไป ซึ่งภายในงานมีการจำหน่ายสินค้าเกษตรกรรม อาทิ ทุเรียนจากอำเภอปากช่อง ราคากิโลกรัมละ 100 บาท, น้อยหน่า 3 กิโลกรัม ราคา 100 บาท, กล้วยหอม ราคาหวีละ 80 บาท อินทผาลัม ราคากิโลกรัมละ 600 บาท และผักผลไม้อื่นๆ อีกมากมายหลายชนิด
โดยไฮไลท์ภายในงานคือ การโชว์ฝีมือในการตำส้มตำโคราชของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อนำไปประมูลหาเงินไปสมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา โดยส้มตำโคราช เป็นส้มตำที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของจังหวัดนครราชสีมา เป็นการผสมผสานระหว่างตำไทยกับตำลาวเข้าด้วยกัน ทำให้ได้รสชาติที่อร่อยลงตัว โดยนางกอบกาญจน์ได้โชว์ฝีมือการตำส้มตำโคราชได้อย่างชำนาญคล่องแคล่ว และผู้ที่ชนะการประมูลส้มตำโคราชฝีมือรัฐมนตรีว่าการท่องเที่ยวและกีฬา คือ นางเพ็ญศรี จารุกำเนิดกนก เจ้าของห้างทองอึ้งเฮงหลี ซึ่งชนะการประมูลไปด้วยราคา 15,000 บาท โดยทางหอการค้าจังหวัดนครราชสีมาจะนำเงินดังกล่าวส่งไปสมทบทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ต่อไป
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #60 เมื่อ:
สิงหาคม 06, 2017, 10:17:03 PM »
“เชียงราย” เฝ้าระวังไฟป่าหันใช้ดาวเทียมระบบเวียส์”ซูโอมิ”สเเกนพื้นที่-ตรวจสอบแม่นยำขึ้น
เชียงรายหันมาใช้บริการดาวเทียมระบบเวียส์ชื่อว่าดาวเทียมซูโอมิ จัดทำแอปพลิเคชั่นมือถือระบบแอนดรอยด์ แสกนฮอตสปอต-พื้นที่จุดเกิดความร้อนใช้ป้องกันไฟป่า
นายปรีชา ทองคำเอี่ยม ผู้อำนวยการส่วนควบคุมและปฏิบัติการไฟป่า สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 เปิดเผยว่า จากกรณีที่ทางสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 15 ร่วมกับคณาจารย์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จ.เชียงราย พัฒนาโปรแกรมและระบบแจ้งจุดความร้อนในฤดูแล้งหรือฮอตสปอตเพื่อใช้ป้องกันไฟป่าและหมอกควันมาหลายปีแล้วนั้น พบว่าในปี 2560 นี้ มีฮอตสปอตแค่ 19 ครั้ง และเกิดไฟไหม้จริงเพียง 16 แห่ง หลังจากปี 2559 ที่ผ่านมาเคยเกิดขึ้นมากถึง 921 ครั้ง จึงถือได้ว่าการใช้ระบบดังกล่าวได้ผล โดยใช้ควบคู่กับการบริหารจัดการโดยทางจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางกำลังตามจุดต่างๆ เพื่อเข้าระงับเหตุด้วย
ทั้งนี้ ปัจจุบันได้มีการพัฒนาระบบให้ดียิ่งขึ้น โดยจากเดิมที่เคยใช้ดาวเทียมในระบบโมดิสขององค์กรการนาซ่า ซึ่งจะโคจรผ่านประเทศไทยวันละ 4 ครั้ง ก็ได้หันมาใช้บริการดาวเทียมระบบเวียส์ ชื่อว่าดาวเทียมซูโอมิ ซึ่งจะโคจรผ่านประเทศไทยวันละ 2 ครั้ง เวลา 10.30 น.และ 02.00 น.ซึ่งให้รายละเอียดเกี่ยวกับฮอตสปอตและพื้นที่ที่เกี่ยวข้องได้มากกว่า โดยระบบเดิมจะให้ข้อมูลแบบกว้าง ๆ ไม่ลงลึกในรายละเอียดมากนัก แต่ระบบใหม่จะตรวจสอบหรือสแกนพื้นที่ได้ละเอียด โดยระบุถึงสภาพภูมิประเทศ จุดเกิดความร้อน เส้นทางที่จะเดินทางไปถึงหน่วยของเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังที่อยู่ใกล้ที่สุด ฯลฯ โดยจัดทำเป็นแอปพลิเคชั่นทางโทรศัพท์มือถือระบบแอนดรอยด์ ซึ่งสะดวกต่อการใช้งานร่วมกันทั้งจังหวัด
“สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการบริหารจัดการ แม้จะมีดาวเทียมแต่ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ปฏิบัติงานในช่วงฤดูฝนนี้อย่างเต็มที่ แม้ว่าจะไม่ใช่ฤดูแล้งที่มีไฟป่าและหมอกควัน โดยจัดอบรมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและชาวบ้านเพื่อให้เห็นถึงความตั้งใจของเจ้าหน้าที่ในการให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการป้องกันไฟป่าตลอดเวลา ไม่ใช่มาทำกันแค่ช่วงฤดูแล้ง อันจะทำให้ชาวบ้านร่วมตื่นตัวด้วย และเมื่อถึงช่วงฤดูแล้งเราก็พร้อมปฏิบัติการได้โดยทันทีต่อไป” นายปรีชากล่าว
อย่างไรก็ตามปัจจุบันเจ้าหน้าที่ป้องกันไฟป่าได้มีการวางกำลังเอาไว้ตามจุดต่างๆ จำนวน 117 สถานี ครอบคลุมทุกพื้นที่ และเมื่อมีฮอตสปอตในช่วงฤดูแล้งก็จะแจ้งผลไปยังหน่วยที่อยู่ใกล้จุดฮอตสปอตมากที่สุด เพื่อเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงและเข้าระงับเหตุกรณีมีไฟไหม้ได้อย่างรวดเร็วต่อไป
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #61 เมื่อ:
สิงหาคม 06, 2017, 10:18:12 PM »
ส่อง “สุไหงโก-ลก” เมืองต้นแบบ ก้าวสู่ “ค้าชายแดนระหว่างประเทศ” 4,500 ล้าน
กว่า 13 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ปะทุหนักขึ้น และต่อเนื่องยังไม่รู้จุดสิ้นสุด ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม
แต่ด้วยศักยภาพในด้านต่าง ๆ ของพื้นที่ 3 จังหวัด ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม และทำเลที่ตั้ง ที่ถือเป็นประตูด่านสำคัญของชายแดนไทย-มาเลเซีย ทำให้รัฐบาลพยายามผลักดันโครงการต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ที่คณะรัฐมนตรีมีมติวันที่ 4 ตุลาคม 2559 เห็นชอบหลักการ คัดเลือก 3 อำเภอ 3 จังหวัดเป็นเมืองต้นแบบ มีเป้าหมายที่จะกระตุ้นให้เกิดการลงทุน เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนในพื้นที่ โดยใช้แนวคิด ให้เอกชนนำ แล้วภาครัฐสนับสนุน กรอบระยะเวลาดำเนินการ ปี พ.ศ. 2560-2563
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 (ศปป.5) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ได้นำสื่อมวลชนลงพื้นที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เมืองต้นแบบ “การค้าขายชายแดนระหว่างประเทศ” เพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการ
สุไหงโก-ลกฉลุย 2 โครงการ 50 ล้าน
ข้อมูลจากอำเภอสุไหงโก-ลก ระบุว่า จังหวัดนราธิวาสมีประชากร 7.8 แสนคน อาศัยอยู่ในอำเภอสุไหงโก-ลก ประมาณ 10% ของประชากรทั้งหมด โดย 68% มีอาชีพค้าขาย พึ่งพากำลังซื้อหลักจากเพื่อนบ้านมาเลเซีย ขณะที่การค้าชายแดน ปี 2559 อยู่ที่ 3,133 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 66.39 ของมูลค่าการค้ารวม เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ร้อยละ 5.99 และตั้งเป้าปี 2560 จะสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 4,500 ล้านบาท
“ปรีชา นวลน้อย” นายอำเภอสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส กล่าวว่า อำเภอสุไหงโก-ลก ได้เสนอโครงการเมืองต้นแบบทั้งหมด 3 โครงการ 8 แผนงาน งบประมาณรวม 532 ล้านบาท แต่ขณะนี้มี 2 โครงการเท่านั้นที่คืบหน้า ได้แก่ 1.แผนการปรับปรุงพื้นที่โดยรอบสถานีรถไฟสุไหงโก-ลก งบประมาณ 31.20 ล้านบาท ขณะนี้ได้ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) วาระที่ 1 แล้ว คาดว่า
วาระที่ 2 จะอนุมัติในเดือนตุลาคมนี้ และ 2.การศึกษาความเหมาะสมสถานีขนส่งสินค้า ผ่าน (สนช.) วาระที่ 1 เช่นกัน ด้วยงบประมาณ 18.6 ล้านบาท เป็นค่าสำรวจและจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน และจ้างที่ปรึกษา 2 พื้นที่ คือ จังหวัดนราธิวาสและจังหวัดสงขลา ขณะที่โครงการอื่น ๆ ที่พื้นที่นำเสนอไปยังไม่ผ่านการพิจารณา
ส่วนความก้าวหน้าโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริการตรวจคนเข้าเมือง เอื้อต่อการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองชายแดน ขณะนี้ด่านพรมแดนสุไหงโก-ลก ได้รับงบประมาณ 10.7 ล้านบาท จัดซื้อเครื่องตรวจหนังสือเดินทางระบบ PIBICS จำนวน 13 ชุด จัดหาระบบฐานข้อมูลลายพิมพ์นิ้วมืออัตโนมัติ หรือ e-Finger Print จำนวน 5 ชุด และเพิ่มกล้องวงจรปิด หรือ CCTV อีก 30 ตัวแล้ว เพิ่มความสะดวกในการเข้าออกมากขึ้น
“โครงการที่ผ่านวาระที่ 1 สนช.นั้นถือว่าโอเค แต่สิ่งที่ท้องถิ่นต้องการมาก คือ การพัฒนาด้านการค้า เนื่องจากโก-ลกเป็นเมืองการค้าชายแดน และต้องการพัฒนาให้เป็นการค้าข้ามแดนไปยังสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และอนาคตถึงบรูไนและยุโรป ดังนั้นสิ่งที่ต้องการขณะนี้ คือ ต้องพัฒนาสะพานเชื่อมไทย-มาเลเซียแห่งที่ 2 เพราะปัจจุบันการคมนาคมแออัด แต่ยังติดปัญหาคือฝ่ายมาเลเซียไม่ต้องการมากนัก เนื่องจากจะกระทบต่อการเวนคืนที่ดินของประชาชนบริเวณรันเตาปังยัง
อีกทั้งมาเลเซียมีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการร่วม ทำให้ไม่สามารถประสานติดต่อเจ้าหน้าที่มาเลเซียได้ อย่างไรก็ตาม หากจะพัฒนาให้เป็นการค้าชายแดนในอนาคตต้องเจรจาปรับปรุงสะพานเชื่อมไทย-มาเลเซียแห่งที่ 2 นี้”
โก-ลกขอศูนย์กลางตลาด
ผู้ที่เคยมาเยือนสุไหงโก-ลก ต่างทราบดีว่าโดยสภาพการค้าขายปัจจุบันยังมีลักษณะวางขายกันแบบสะเปะสะปะ คือ ขายบนถนน หน้าบ้านและหลังบ้าน จึงมีโครงการขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติม คือ ก่อสร้างศูนย์กลางตลาดสินค้าทางการเกษตร บนเนื้อที่ 8 ไร่ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ขณะนี้อยู่ระหว่างรอฟังผล
และหากจะให้ตรงใจที่สุด คือ ขอให้รัฐบาลซื้อที่ดิน และรื้อถอนบ้านเอื้ออาทรของการเคหะฯ บนเนื้อที่ 25 ไร่ เนื่องจากปล่อยทิ้งร้าง ไม่มีความจำเป็นต่อชาวบ้าน แล้วลงทุนพัฒนาโครงการพื้นฐาน เพื่อให้เอกชนเข้ามาพัฒนา โดยการสร้างคอมเพล็กซ์ หรืออาคารอเนกประสงค์ เพื่อใช้จัดกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจ
“วันนี้ผมมองว่าต้องมีห้างในโก-ลก เพราะในพื้นที่ 3 จังหวัด มีบิ๊กซี ปัตตานีที่เดียว ขณะที่มาเลเซีย รัฐกลันตัน ซึ่งเป็นรัฐยากจน แต่กลับมีห้างหลายห้าง มีศูนย์ฮาลาล มีครบทุกอย่าง แต่เราไม่มีอะไรเลย นี่จึงเป็นความคิดความฝันของคนพื้นที่ที่อยากให้รัฐบาลสนับสนุน”
ชูโปรเจ็กต์ปลอดภาษีทั้งเมือง
นายอำเภอสุไหงโก-ลก กล่าวว่า หากจะพัฒนาพื้นที่ชายแดนใต้ มองว่าโครงการจัดตั้งเมืองการค้าปลอดภาษีตอบโจทย์ที่สุด และต้องมีรูปแบบแตกต่างจากที่อื่น คือ ไม่ได้หมายถึงร้านค้า
ที่ให้เฉพาะนักท่องเที่ยวซื้อได้เท่านั้น แต่ให้รวมทั้งเมือง เป็นเขตปลอดภาษี ให้ประชาชนคนไทย ปัตตานี ยะลา และพี่น้องมาเลเซียเข้ามาจับจ่าย จะทำให้เศรษฐกิจเมืองชายแดนคึกคักขึ้นทันที รัฐบาลต้องใช้ ม.44 แก้กฎหมายที่ติดขัด หากไม่ทำยุคนี้ เมื่อการเมืองกลับมาจะเป็นเรื่องผลประโยชน์ของใครของมันเหมือนเดิม
รัฐต้องช่วยเมืองคนป่วยเรื้อรัง
ด้าน “สุชาดา พันธุ์นรา” นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า จังหวัดนราธิวาสได้สิทธิพิเศษมาก เนื่องจากเป็นทั้งเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” โดยเฉพาะเรื่องซอฟต์โลน ดอกเบี้ย 1.5% ต่อปี ถือว่าดึงดูดนักลงทุนมาก แต่การอนุมัติวงเงินขณะนี้ยังไม่ชัดเจน เนื่องจากสภาพัฒน์มองเรื่องความคุ้มค่า แต่ตนมองว่าสภาพัฒน์คิดผิด เพราะหากมองจุดคุ้มค่าเราก็เดินหน้าไม่ได้ เราต้องมองว่าพื้นที่เราผิดปกติ เป็นคนป่วยเรื้อรังมาเป็น 10 ปี
หดหู่มาก ต้องรับยาพิเศษ
สุชาดาบอกว่า โครงการที่รัฐอนุมัติส่วนมากยังไม่ได้ตอบโจทย์ชาวบ้านที่ต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้น สิ่งที่ชาวบ้านต้องการมาก คือ รัฐต้องหาสถานที่ให้เขาทำธุรกิจให้เป็นรูปเป็นร่าง เพราะสุไหงโก-ลก เป็นศูนย์กลางการค้า คือ ซื้อมาขายไป มองว่าจุดที่เหมาะสม คือ บ้านเอื้ออาทรของการเคหะฯตอนนี้ปล่อยทิ้งไว้ เป็นแหล่งเสื่อมโทรม หากรัฐซื้อจากรัฐแล้ว เอกชนมาปรับปรุงพื้นที่สร้างอาคารอเนกประสงค์ จะสามารถพัฒนาเป็นแลนด์มาร์ก ร้านค้าได้
“สุไหงโก-ลก ได้เปรียบเรื่องอาหาร และการเที่ยวบันเทิง ดิสโก้ คาราโอเกะ ที่มาเลเซียไม่มี ซึ่งเป็นสิ่งที่จะเอื้อให้เศรษฐกิจคึกคัก แต่รัฐจะต้องยกเว้นระเบียบบางตัว หรือการเปิดจุดผ่อนปรน เพราะอย่างที่ทราบกันว่านักท่องเที่ยวที่เข้ามากินมาเที่ยวบ้านเราส่วนมากเป็นข้าราชการมาเลเซียที่มักจะเข้ามาจุดผ่อนปรน หากเราตึงมากไป การท่องเที่ยวก็ดาวน์ลงมาก หรือหากรัฐจะเยียวยา เป็นไปได้หรือไม่ที่จะทุ่มงบประมาณเกี่ยวกับสัมมนาแล้วพามาโก-ลก ไม่ต้องประชุมหาดใหญ่ แล้วเงินจะสะพัด โรงแรม ร้านอาหาร ตลาดมีรายได้ ท่องเที่ยวก็ได้”
เป็นเสียงสะท้อนจากพื้นที่ถึงส่วนกลาง จะถึงฝั่งฝันเป็นเมืองการค้าชายแดนระหว่างประเทศหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความจริงใจและนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาล
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #62 เมื่อ:
สิงหาคม 06, 2017, 10:19:02 PM »
“สิธิชัย” รองผู้ว่าฯอุดรธานี เปิดตลาดทุกระดับกระตุ้น เศรษฐกิจอีสานบน 1
ถือว่าประสบความสำเร็จเล็ก ๆ กับงาน “อีสาน เอ็กซ์โป 2017” ช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ของกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 หรือกลุ่มจังหวัดสบายดี ที่ปั๊มยอดขายได้ตามเป้าแบบเฉียดฉิว 50 กว่าล้านบาท โดยครั้งนี้ถือเป็นงานยักษ์งานแรกที่จังหวัดอุดรธานี หัวหน้ากลุ่มจัดขึ้น และเตรียมตัวจัดครั้งต่อไปวันที่ 8-14 สิงหาคมนี้ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี
ประชาชาติธุรกิจ สัมภาษณ์พิเศษ “สิธิชัย จินดาหลวง” รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี ฝ่ายเศรษฐกิจ ถึงแนวทางการพัฒนาและกระตุ้นเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัดสบายดี
รองสิธิชัยกล่าวว่า กลุ่มสบายดีประกอบด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี เลย หนองบัวลำภู บึงกาฬ และหนองคาย โดยมีภาพรวมเศรษฐกิจ 3 เรื่อง คือ 1.การเกษตร 2.การค้าการลงทุน 3.การท่องเที่ยว โดยภาพใหญ่ของเกษตรคือพืชเศรษฐกิจ
ไม่ว่าจะเป็นข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา ที่ขณะนี้ประสบปัญหาผลผลิตราคาตกต่ำ เราพยายามจะเน้นให้ทำเกษตรผสมผสานมากขึ้น ไม่ให้ทำเกษตรเชิงเดี่ยวแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำเยอะ แต่พัฒนาคุณภาพสินค้า ถ้าเป็นพืชผลอาจจะเป็นรูปลักษณ์แปลกใหม่ เช่น แตงโมลูกเหลี่ยม เพิ่มมูลค่า โดยจังหวัดอุดรธานีมีตลาดอุดรเมืองทอง พื้นที่ 98 ไร่ รองรับเป็นศูนย์กลางสินค้าเกษตร ขั้นตอนต่อไปเตรียมพัฒนาให้เป็นตลาดเกษตรอินทรีย์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน แล้วบริหารจัดการด้วยระบบประชารัฐ
ส่วนเรื่องการค้าการลงทุน เนื่องจากของเราเป็นประตูสู่ประเทศ GMS (Greater Mekong Subregion) หรืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ประกอบไปด้วยไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีนตอนใต้ ซึ่งเรามีด่านการค้าชายแดนมากมาย โดยมีจังหวัดอุดรธานีเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งทางบกกับทางอากาศเป็นศูนย์รวมใหญ่
“การค้าการลงทุนอาจจะดร็อปไปบ้าง โดยเฉพาะช่วงที่ สปป.ลาวเก็บแวต 10% ทำให้ช่วงแรกการค้าหายไปครึ่งหนึ่ง นักท่องเที่ยวก็หายไปเยอะ เพราะกังวลว่าเข้ามาจับจ่ายแล้วนำกลับไปต้องเสียแวต เราเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ทำหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์อาศัยเวทีในการเจรจาทวิภาคีเพื่อช่วยผ่อนคลายให้เรา และได้ไปพบกงสุลใหญ่ของ สปป.ลาวที่ขอนแก่นเพื่อนำเรียนประเด็นปัญหาเพื่อสะท้อนถึงรัฐบาลลาว ซึ่งท่านได้รับไปแล้ว”
รองผู้ว่าฯอุดรธานีกล่าวอีกว่า ด้วยนโยบายสร้างความเข้มแข็งภายใน สิ่งที่กลุ่มจังหวัดทำขณะนี้คือการสร้างตลาดตั้งแต่ระดับรากหญ้า คือตลาดชุมชน เนื่องจากเศรษฐกิจที่เติบโตขณะนี้ กระจุกอยู่ส่วนกลาง คือกรุงเทพฯกับปริมณฑลราว 80% ขณะอีกกว่า 70 จังหวัดเพียง 20% เท่านี้ ซึ่งหากเป็นแบบนี้ต่อไปอนาคตประเทศจะเดินไปได้ยาก ดังนั้นต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ภูมิภาคต้องเติบโตไปด้วยกัน
“ขณะนี้เราพยายามหาสถานที่เพื่อเป็นตลาดให้แก่ชาวบ้าน อาจเป็นตลาดนัดโดยหาทำเลดี ๆ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้า สถานที่ราชการ ปั๊มน้ำมัน สนามบิน สถานีขนส่ง สถานีรถไฟที่พอจะมีพื้นที่ที่เหมาะสมสามารถจัดเป็นร้านเล็ก ๆ เป็นตลาดอะไรได้ก็จะพยายามทำ เพื่อกระจายผลผลิตการเกษตรตามฤดูกาล เช่น ตลาดนัดข้าวเปลือก ตลาดนัดข้าวสาร เพื่ออย่างน้อยให้ผู้ผลิตผู้บริโภคได้มีโอกาสมาพบกันโดยตรง และในส่วนของโมเดิร์นเทรดใหญ่ ทางสำนักงานพาณิชย์ก็ได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการทางโมเดิร์นเทรดช่วยสนับสนุนและซื้อสินค้าที่ผลิตจากพื้นที่มากขึ้น รวมถึงจัดโรดโชว์ตามภูมิภาคต่าง ๆ จริง ๆ อยากไปต่างประเทศด้วย แต่ด้วยข้อจำกัดของงบประมาณ ที่เราไม่สามารถไปจัดโรดโชว์ต่างประเทศได้”
สำหรับงานเอ็กซ์โปที่ผ่านมา มาจากกลุ่มจังหวัดเห็นสมควรว่าทำให้ใหญ่ขึ้น โดยเน้นการส่งเสริมเรื่องอาชีพชาวบ้าน ไม่ว่าด้านการเกษตร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน โอท็อป พร้อมกับทำการตลาดด้วย โดยได้รับงบประมาณทั้งหมด 33 ล้านบาทมาจัดงานในนามกลุ่มจังหวัด
ในส่วนภาพรวมของสินค้านั้น คือผ้าทอมือทุกชนิด ที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องและโด่งดังเป็นวงกว้าง ดังนั้นใครจะใช้ผ้าทอมือต้องนึกถึงอีสาน เราเคยจัดไปแล้วงานหนึ่ง ตอนแรกเราไปใช้คำว่า GMS Textile Expo มีคนท้วงว่า เท็กซ์ไทล์ เป็นการทอระบบโรงงาน ถ้าเป็นผ้าทอมือต้องเป็น Fabric จึงเปลี่ยนภาษาอังกฤษเป็น GMS Fabric Expo
รองผู้ว่าฯอุดรธานีกล่าวอีกว่า ปี 2560 นี้ งบประมาณกลุ่มจังหวัดรวมแล้ว 4,600 ล้านบาท ถือว่าได้มากที่สุดในรอบหลายปีที่งบประมาณกลุ่มจังหวัดอยู่ที่ระดับ 300-400 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งงบประมาณที่ได้รับนี้เป็นทั้งงบประมาณกลุ่มจังหวัดและงบประมาณฟังก์ชั่น เฉพาะจังหวัดอุดรธานีได้รับงบประมาณทั้งหมด 678 ล้านบาท แบ่งโครงการเป็นยุทธศาสตร์ต่าง ๆ ได้แก่ 1.พัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยว 327.8 ล้านบาท 2.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการลงทุน การค้า อุตสาหกรรมและบริการ 126 ล้านบาท และ 3.พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตร สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรและเชื่อมโยงตลาด 225 ล้านบาท
“ผมว่ามันเป็นการทุ่มเม็ดเงินเพื่อกระตุกในวิถีของระบบเศรษฐกิจในระดับรากหญ้าให้เม็ดเงินมันหมุน ตอนนี้แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจ เฉพาะจังหวัดอุดรธานี เราคาดการณ์ว่าปีนี้อัตราการขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจของจังหวัดอุดรธานีจะอยู่ที่ 3.2 ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2559”
พร้อมกับขยายความต่อว่า เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวจาก 2 ส่วน ส่วนที่ 1 คือการขยายตัวทางด้านซัพพลายไซด์ จะมีการขยายตัวของภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคการบริการ ที่บอกว่าขยายตัว คือมันมีการผลิตที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้น มีผลผลิตต่าง ๆ เพิ่มขึ้น การบริการก็มีผู้มาใช้บริการ และมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ส่วนดีมานด์ไซด์ การบริโภคของภาคเอกชนสูงขึ้น และรายจ่ายภาครัฐที่ทุ่มเม็ดเงินลงไปมากขึ้น ทำให้ทั้งซัพพลายไซด์และดีมานด์ไซด์มีแนวโน้มขยายตัว
เป็นความพยายามของทุกฝ่ายช่วยกันผลักดันให้ภูมิภาคเติบโต เกิดการเข้มแข็งจากภายใน เพื่อส่งเสริมให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้อย่างแข็งแกร่งและมั่นคง
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #63 เมื่อ:
สิงหาคม 06, 2017, 10:20:12 PM »
เศรษฐสิริ ปิ่นเกล้า-กาญจนาฯ บ้านเดี่ยว 15 ล้านใกล้ด่วนศรีรัชตะวันตก
คอลัมน์ เยี่ยมโครงการ โดย มิสเตอร์โฮม
เหตุผลของการเป็นเจ้าของบ้านสวยสักหลังเชื่อว่าอยู่ในใจผู้บริโภคทุกคน วันนี้ “มิสเตอร์โฮม” ได้รับเทียบเชิญเยี่ยมชมหมู่บ้านเศรษฐสิริ แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับกลางของบริษัทจัดสรรค่ายมหาชน “แสนสิริ” สาเหตุที่บอกว่าเป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับกลาง เพราะค่ายนี้เขามีอีก 2 แบรนด์หลัก “นาราสิริ-สราญสิริ” สำหรับขายตลาดบน เป็นบ้านหรูหลังใหญ่และตลาดบ้านเดี่ยวไซซ์เริ่มต้น 50 ตร.ว.
ขอขอบคุณ “เมธา อังวัฒนพานิช” เอ็มดีโครงการแนวราบของแสนสิริที่นำเยี่ยมชมด้วยตนเอง ทำเลที่ตั้ง “เศรษฐสิริ ปิ่นเกล้า-กาญจนาฯ” อยู่บน ถ.พุทธมณฑลสาย 2 ซอย 24 ที่ดินทั้งโครงการ 32 ไร่ แบ่งแปลงหลวม ๆ 74 ยูนิต รูปร่างที่ดินเป็นเส้นยาวลึกเข้าไปด้านใน
จุดเด่นทำเลเป็นโครงการฝังตัวอยู่ในซอยทะลุออกได้ทั้ง2ฝั่งถนน”พุทธมณฑล-วงแหวนกาญจนาภิเษก”ที่ชอบมากน่าจะเป็นเรื่องอยู่ห่างจากทางด่วนศรีรัช2หรือทางด่วนใหม่ที่เชื่อมต่อเข้าเมืองเพียง2กม.ทำให้บริษัทเคลมว่าเป็นโครงการเปิดใหม่ใกล้ทางด่วนศรีรัช 2 มากที่สุดในขณะนี้
โฟกัสขนาดตัวบ้านกันดีกว่า โครงการนี้แบ่งแปลงที่ดิน 100-150 ตร.ว. มีแบบบ้านให้เลือก 2 แบบ ไซซ์ไม่หนีกันมาก เริ่มจากแบบบ้านอริสโต (Aristo) พื้นที่ใช้สอย 278 ตร.ม. ฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ กับแบบบ้านริทซ์ (Ritz) พื้นที่ใช้สอย 248 ตร.ม. 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พื้นถึงเพดานสูง 2.65-2.8 เมตร
แบบบ้านตัวอย่างที่นำเสนอเลือกดู “ริทซ์” เป็นบ้านทรงหน้ากว้าง เดินเข้ามาเจอโถงทางเข้าหน้าห้องนั่งเล่นกว้าง สามารถตั้งเก้าอี้นอนเล่นได้เลย ผ่านประตูกระจกสไลด์ เข้าไปพบฟังก์ชั่นตามมาตรฐาน คือ ห้องนั่งเล่นและทานอาหารนั่นเอง Mock up หรือการตกแต่งตัวอย่างเขาจัดห้องนั่งเล่นวางโซฟา-อาร์มแชร์ 6 ที่นั่ง ห่างจากจุดวางโทรทัศน์ระยะกำลังดีต่อสายตา
จุดแปลกตาน่าจะเป็นห้องรับประทานอาหารเลือกวางโต๊ะทรงกลมพร้อมเก้าอี้ 8 ที่นั่ง ล้อมรอบด้วยประตูกระจกบานสไลด์เปิดมุมมองสวนสวยริมรั้ว กรุหน้าต่างกว้างยาวเกือบเต็มผนังอย่างตั้งใจ ขับเน้นให้ส่วนนี้รู้สึกถึงความโปร่งสบาย
มองเลยขึ้นไปทางซ้ายเป็นครัวฝรั่ง หรือครัวแพนทรี่ มีเคาน์เตอร์เตรียมอาหารพร้อมตู้เก็บของ ซิงก์ ตู้เย็น ครบเป๊ะ เดินลึกเข้าไปด้านในเป็นฟังก์ชั่นครัวไทย มีประตูปิดมิดชิดเป็นสัดส่วน กรณีผัดทอดแกงต้มอาหารกลิ่นฉุนสามารถปิดประตูเข้าบ้านแล้วเปิดประตูหลังช่วยระบายอากาศได้ จัดวางเคาน์เตอร์ 2 ฝั่ง มองเห็นเตาแก๊ส 2 หัว เตาอบ อ่างล้างจาน ตู้เย็น ได้พอดิบพอดี
เดินย้อนกลับมาอีกมุมหนึ่งของบ้าน ออกแบบเล่นระดับพื้นลงบันได 2 ขั้นเข้าไปในห้องน้ำซึ่งฝังตัวอยู่ใต้บันได แน่นอนว่าชั้นล่างนำเสนอห้องอเนกประสงค์ โดยบ้านตัวอย่างแตกไอเดียจัดเป็นห้องแฟมิลี่รูม ให้คนในบ้านสามารถเอกเขนกกันได้ตามสบาย
สาวเท้าเดินขึ้นบันไดไปชั้น 2 ปีกขวาของบ้านเป็นพื้นที่ว่างเปิดโล่ง แสนสิริทดลองจัดเป็นมุมทำงาน วางตู้หนังสือบิลต์อินเต็มผนัง กับโซฟาและโต๊ะทำงานตัวยาว ยืนมองอยู่ตั้งนานรู้สึกว่า อืมม์…ค่อนข้างเต็มพื้นที่
ฟังก์ชั่นหลักต้องยกให้มาสเตอร์เบดรูม วางเตียง 6 ฟุตพร้อมเก้าอี้ปลายเตียงตู้วางโทรทัศน์ มีระเบียงในตัวทำจากกระจกทำให้ชมวิวได้โดยไม่มีสิ่งบังสายตา มาพร้อมกับวอล์กอินโคลเซต มีตู้เสื้อผ้าแบบ 8 บานประตู คุณผู้หญิงน่าจะต้องร้องกรี๊ดเพราะเก็บของได้จุใจ ไม่ลืมสำรวจห้องน้ำเป็นแบบตู้ฝักบัว กับอ่างล้างหน้า 2 อ่าง
สำหรับห้องนอนอีก 2 ห้องสำหรับคุณลูก ๆ มีขนาดใกล้เคียงกัน วางเตียง 3.5 ฟุตได้สบาย ข้อแตกต่างอยู่ที่มีระเบียงกับไม่มีระเบียง โดยห้องนอนเล็กใช้ห้องน้ำร่วมกัน
ดูภายในจุใจแล้ว ย้อนเดินถอยออกมาภายนอกบ้าน หน้าตาบ้าน (Facade) ส่วนที่เป็นผนังภายนอกกรุกระเบื้องมองไปมองมาสวยดีเหมือนกัน จุดที่คิดว่าแม่บ้านชอบที่สุดคิดว่าเป็นวัสดุที่ทำความสะอาดได้ง่าย เพิ่มชั้นกันความร้อนเพื่อให้เป็นบ้านพักอาศัยแล้วอยู่สบายไม่อบอ้าว
โครงการนี้คอนเซ็ปต์เป็นบ้านสร้างเสร็จพร้อมขายราคาเริ่ม15ล้านบาทเฟสแรก12ยูนิตขายไปแล้ว6หลังเฟสต่อไปอยู่ระหว่างก่อสร้างคาดว่าเริ่มเปิดขายได้โน่นเลย…ปีหน้า ครับผม
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #64 เมื่อ:
สิงหาคม 06, 2017, 10:20:54 PM »
พาร์ค ริเวอร์เดล บ้านหรูติดสนามกอล์ฟ 300 ไร่
คอลัมน์ เยี่ยมโครงการ โดย มิสเตอร์โฮม
หากพูดถึง “เอ็มบีเค” หลายคนคงนึกถึงศูนย์การค้าชื่อดัง “มาบุญครอง” อาจจะยังไม่ทราบมีธุรกิจในเครืออีกหลายรูปแบบที่แตกหน่อออกผล หนึ่งในนั้น “ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” ซึ่งพัฒนาโดย บจ.เอ็ม บี เค เรียล เอสเตท
จากนักพัฒนาศูนย์การค้า ลองมาดูหน้าตาบ้านใต้ปีก “เอ็มบีเค” จะไฉไลสักแค่ไหน “มิสเตอร์โฮม” พาเยี่ยมชมโครงการ “พาร์ค ริเวอร์เดล” อยู่ในทำเลเดียวกับสนามกอล์ฟ ริเวอร์เดล ซึ่งปักหมุด ที่ จ.ปทุมธานี
ก่อนจะชมบ้าน “ปราโมทย์ เกตุทอง” ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบและวางผังอาวุโส เล่าถึงที่มาที่ไปว่า ที่ดินผืนนี้มีเนื้อที่ทั้งหมด 800 ไร่ ใช้ทำเป็นสนามกอล์ฟ 300 ไร่ ซึ่งมีแนวคิดไม่อยากสร้างโปรดักต์เดียวในการทำโครงการ อยากพัฒนาเป็นมิกซ์ยูส จึงนำที่ดินเหลืออีก 500 ไร่ พัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านในสนามกอล์ฟ”
“เหมาะกับลูกค้าที่กำลังมองหาบ้านที่มีความสงบ เป็นส่วนตัว อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ เพราะมีสวนขนาดใหญ่ในโครงการถึง 3 สวน ซึ่งโครงการเราอยู่ห่างจากสนามกอล์ฟเพียงแค่ 100 เมตร หากเริ่มต้นจากทางเข้าบริเวณถนนใหญ่ ระยะทางถึงตัวโครงการประมาณ 3-4 กม.”
ขณะที่รูปแบบโครงการ “ปราโมทย์” อธิบายว่า ออกแบบเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น สไตล์โมเดิร์นทรอปิคอล แบ่งออกเป็น 3 ขนาด คือ M L และ XL ซึ่งได้มีการตั้งชื่อของบ้านแต่ละขนาดตามชื่อของดอกไม้และพันธุ์ไม้ ได้แก่ พิทูเนีย พริมโรส และไพน์ มีทั้งหมด 79 หลัง โดยทุกหลังสามารถจอดรถได้ 2 คัน รวมถึงมีเพดานสูง 2.8 เมตร ทั้งชั้นล่างและชั้นบน ซึ่งการก่อสร้างทั้งหมดจะใช้ระบบพรีคาสต์ หรือระบบการก่อสร้างสำเร็จรูป
โดยบ้านไซซ์ M มีจำนวน 34 หลัง ขนาดที่ดินเริ่มต้นที่ 56-80 ตร.ว. ทุกหลังจะมีพื้นที่ใช้สอย 160 ตร.ม. มี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และ 1 ห้องอเนกประสงค์ ราคา 6.49-8 ล้านบาท ส่วนไซซ์ L มี 33 หลัง ขนาดที่ดิน 63-100 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 184 ตร.ม. มี 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องอเนกประสงค์ ราคา 7.18-9 ล้านบาท และไซซ์ XL มีเพียง 12 หลัง ขนาดที่ดิน 122-173 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 225 ตร.ม. มี 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องอเนกประสงค์ 1 ห้องแม่บ้าน ราคาประมาณ 13-14 ล้านบาท
และเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย ขณะนี้อยู่ระหว่างการทำทางจักรยาน และทางสำหรับการวิ่งออกกำลังกาย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่เข้ามาอาศัยในโครงการเป็นออปชั่นเพิ่มเติม
ปัจจุบันโครงการเปิดขายเฟสแรกแล้ว จำนวน 31 หลัง ตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะนี้มียอดขายแล้ว 6 หลัง คาดว่าการก่อสร้างจะเสร็จและพร้อมโอนในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค.นี้
ใครที่กำลังมองหาบ้านไซซ์ใหญ่ในราคาที่ไม่แพงมาก “พาร์ค ริเวอร์เดล” นับเป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #65 เมื่อ:
สิงหาคม 06, 2017, 10:21:44 PM »
ธาม ฮิลล์ วิลเลจ ไลฟ์สไตล์วิลล่าบนเขาใหญ่
คอลัมน์ เยี่ยมโครงการ โดย มิสเตอร์โฮม
ธามเป็นภาษาไทยแปลว่า สิ่งล้ำค่า พ้องเสียงกับคำว่า Time ในภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลว่า เวลา “ธาม ฮิลล์ วิลเลจ” จึงหมายถึง เวลาแห่งการครอบครองสิ่งล้ำค่า ถูกนำมาใช้เป็นคอนเซ็ปต์โครงการบ้านพักตากอากาศกลางธรรมชาติทำเลเขาใหญ่ของค่ายนายณ์ เอสเตท ในเครือนารายณ์ พร็อพเพอร์ตี้ โดยมี “สุธี ลิมปนชัยพรกุล” เอ็มดีนายณ์ เอสเตท นำชมด้วยตนเอง
โครงการธาม ฮิลล์ วิลเลจ สร้างบนที่ดิน 40 ไร่ เชื่อมต่อกับไร่องุ่นพีบี วัลเลย์ของตระกูลภิรมย์ภักดี ที่เป็นผืนใหญ่ 2,000 ไร่ ตั้งอยู่ลึกเข้ามาใน ถ.ผ่านศึก-กุดคล้า ทำให้บรรยากาศเงียบสงบกว่าโซน ถ.ธนะรัชต์ กลางคืนมองเห็นดาวเต็มฟ้า
ทั้งโครงการโอบล้อมด้วยเทือกเขาลดหลั่นเป็นไหล่เขาเรียงตัวกันลงไปออกแบบเป็นคอนโดมิเนียม 4-6 ชั้น รวม 6 อาคาร 160 ยูนิต กับบ้านเดี่ยวอีก 36 หลัง ใช้เทคนิคการออกแบบให้บ้านแต่ละหลังตั้งอยู่เหลื่อมกัน เพื่อให้เทกวิวพาโนรามาของภูเขาอย่างเต็มที่
โฟกัสบ้านเดี่ยวหรือวิลล่าฟังก์ชั่นเหมือนกันทุกหลัง เป็นบ้านเดี่ยวสีปูนเปลือย 3 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ แตกต่างตรงที่ดินตั้งแต่ 140-298 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 290-330 ตร.ม. รวมถึงทำเลตั้งอยู่บนไหล่เขาทำให้ดีไซน์ทางเข้าบ้านไม่เหมือนกัน บางแบบเข้าจากชั้น 1 แล้วเดินขึ้นชั้นบนตามปกติ บางแบบเข้าจากชั้น 3 และเดินลงชั้นล่าง
บ้านตัวอย่างแบบบ้าน “ปราณ” พื้นที่ใช้สอย 330 ตร.ม. ทางเข้าบ้านชั้น 1 จากที่จอดรถเข้าตัวบ้านจะพบเมดเอเรียแยกสัดส่วนเฉพาะ มีห้องครัวเล็ก ๆ ห้องนอนแม่บ้าน 2 ห้อง แต่ถ้าไม่เพียงพอในกรณีมีทั้งคนขับรถ-พี่เลี้ยงเด็กพ่วงมาด้วย โครงการมีตึกแยก 6-8 ห้องนอน เป็นออปชั่นเสริมให้ผู้ติดตามเข้าพักได้
เดินขึ้นชั้น 2 แยกซ้ายมือเป็นห้องนอนมาสเตอร์รับวิวภูเขา พร้อมห้องน้ำในตัวแบบมีอ่างอาบน้ำ ขวามือเป็นมุมระเบียงเอาต์ดอร์ที่มีหลังคาเรียกว่า “เทอร์เรซ” กว้างขวางเหมาะเป็นลานปาร์ตี้ปิ้งย่างบาร์บีคิว ทำกิจกรรมพักผ่อนกันได้ คนออกแบบบอกว่าเป็นพื้นที่หัวใจของบ้านเพราะมองเห็นเทือกเขาวิวพาโนรามา
เดินผ่านเข้าสู่ห้องครัว+ห้องนั่งเล่นครัวจัดเต็มให้ทั้งเคาน์เตอร์บิลต์อินครัวไอส์แลนด์ตรงกลางพร้อมพื้นที่วางโต๊ะทานอาหาร6 เก้าอี้ บริเวณครัว-นั่งเล่น-เทอร์เรซ ออกแบบให้เปิดประตูกระจกสไลด์ได้สุดผนังเพื่อเชื่อมต่อกันเป็นพื้นที่ปาร์ตี้ขนาดใหญ่ได้เลย เกือบทั้งหมดบนชั้น 2 เป็นดับเบิลวอลุ่มหลังคาจั่วสูง 7 เมตร
ขึ้นไปบนชั้น 3 เห็นการออกแบบสนุก ๆ ของสถาปนิก โดยทำทางเดินเชื่อมเหนือบ้านทั้งหมด ไล่ตั้งแต่เหนือห้องนั่งเล่นสามารถเดินยาวทะลุออกไปโซนเอาต์ดอร์เหนือระเบียง ทำให้ผู้อาศัยในบ้านสามารถพบปะเชื่อมต่อกันได้หมด สุดทางเดินฝั่งห้องนั่งเล่นวางฟูกเป็นมุมเด็กเล่น สุดปลายทางเดินเอาต์ดอร์เชื่อมกับระเบียงไม่มีหลังคาขนาดพอเหมาะอีก 1 จุด
ไฮไลต์เรื่องวัสดุ หลังคาทำจากไม้ธรรมชาติทั้งหมด อาทิ ไม้สัก เต็ง, แดง ซีดาร์ ตั้งใจให้กลืนกับธรรมชาติเขาใหญ่ และทนร้อนทนหนาวได้ทุกสภาพอากาศ
บทวิจัยตลาดของนายณ์ฯเชื่อว่า ผู้ซื้อบ้านตากอากาศในเขาใหญ่เน้นพื้นที่ทำกิจกรรมร่วมกันมากกว่ามาผ่อนคลาย ทำให้จุดอ่อนคือห้องน้ำค่อนข้างเล็ก แต่ข้อดีคือเทอร์เรซและส่วนกลางของบ้านที่โอ่โถง
สนนราคาเคาะมาที่ 25-30 ล้านบาท ราคานี้เลือกช็อปได้ถึง มี.ค. 60 โดยเซลส์แกลเลอรี่เปิดต้อนรับทุกวันไม่มีวันหยุด
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #66 เมื่อ:
สิงหาคม 06, 2017, 10:24:06 PM »
ผู้นำ “อาเซียน-จีน” เตรียมประกาศเริ่มต้นทำซีโอซี พ.ย.นี้
ที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน-จีน ให้ความเห็นชอบกับแนวทางประมวลการจัดทำการปฎิบัติในทะเลจีนใต้(Framework on COC) ซึ่งเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนจีนได้จัดทำขึ้นจนแล้วเสร็จและนำเสนอให้ที่ประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียน-จีนพิจารณาในการประชุมในวันที่ 6 สิงหาคมนี้ แต่การประกาศการเริ่มต้นเจรจาเพื่อจัดทำแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้(ซีโอซี) อย่างเป็นทางการจะมีขึ้นในการประชุมผู้นำอาเซียน-จีนในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ต่อไป
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า อาเซียนไม่ขัดข้องกับแนวทางที่จีนอยากให้มีการประกาศเริ่มต้นการเจรจาเพื่อจัดทำซีโอซีในช่วงประชุมผู้นำปลายปีนี้ เพราะทุกฝ่ายรับรู้ว่าต่างคนต่างมีเรื่องต้องดำเนินการและเตรียมท่าทีในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพราะเหลือเวลาไม่มากก็จะถึงการประชุมผู้นำ ซึ่งจะได้มีการดำเนินการเพื่อเริ่มต้นจัดทำซีโอซีอย่างเป็นทางการต่อไป
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #67 เมื่อ:
สิงหาคม 06, 2017, 10:25:25 PM »
ทุนญี่ปุ่นเชื่อมั่น ศก.ไทยดีขึ้น “เวียดนาม” เหมาะเป็น “Thai+1”
หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (เจซีซี)เปิดผลสำรวจมุมมองแนวโน้มเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ประจำครึ่งแรกของปี 2017 (ระหว่างวันที่ 22 พ.ค.-14 มิ.ย.) โดยมีบริษัทตอบกลับครั้งล่าสุดสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 594 บริษัท จากสมาชิกทั้งหมด 1,735 บริษัท คิดเป็นสัดส่วน 34.2%
นายฮิโรกิ มิสึมาตะ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) และหัวหน้าฝ่ายวิจัยด้านเศรษฐกิจของเจซีซี กล่าวว่า ดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจ (DI) ครึ่งปีหลังของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยมีทิศทางที่ดีขึ้นชัดเจน
ด้านการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตพบว่าบริษัทที่คาดว่าจะ “ลงทุนเพิ่มเติม” ในปีนี้ คิดเป็น 44% ขณะที่บริษัทที่ตอบว่าลงทุน “คงที่” มีราว 33% และลงทุน “ลดลง” มี 17% โดยส่วนใหญ่ต้องการลงทุนเพิ่มเติม 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) เครื่องจักรในการขนส่ง 2) อุตสาหกรรมเหล็ก และ 3) อิเล็กทรอนิกส์
ขณะที่แนวโน้มส่งออก พบว่า บริษัทส่วนใหญ่ 50% เชื่อว่าการส่งออกจะคงที่ ขณะที่ 35% เชื่อมั่นว่าการส่งออกจะสดใสขึ้น ส่วนใหญ่มุ่งความสนใจไปที่อุตสาหกรรมอาหาร สิ่งทอ เคมี เหล็ก และอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนบริษัทที่เชื่อว่าการส่งออกลดลงมีอยู่ 15% โดยมีปัจจัยหนุนมาจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่หดตัว เนื่องมาจากตลาดในตะวันออกกลางที่มีเศรษฐกิจไม่สดใส
อย่างไรก็ตาม บริษัทญี่ปุ่นเชื่อว่า “ตลาดรถยนต์ในอาเซียน” ถือเป็นตลาดที่น่าสนใจมากที่สุด ทั้งนี้ ตลาดส่งออกที่มีศักยภาพในอนาคตยังยกให้ “เวียดนาม” 3 ปีซ้อน
โดยผลสำรวจครั้งล่าสุดพบว่านักธุรกิจญี่ปุ่นถึง 45% ชี้ว่าเวียดนามเป็นตลาดที่มีศักยภาพเป็น “Thai+1” หมายความว่าเวียดนามเป็นตลาดแห่งที่สองที่นักลงทุนจะเลือกเข้าไปขยายฐานการผลิตต่อจากไทย ด้วยเหตุผล 3 ประการสำคัญ ไก้แก่ การเติบโตของเศรษฐกิจ แรงงานราคาถูก และสะดวกในการเข้าถึงประเทศไทย
ส่วนตลาดส่งออกที่มีศักยภาพอันดับ 2ได้แก่ “อินโดนีเซีย” นักธุรกิจญี่ปุ่นเชื่อมั่น 35% รองมา “อินเดีย” 32% “เมียนมา” 25% และ “ญี่ปุ่น” 18%
ขณะที่อุปสรรคในการดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่ตอบว่า “การแข่งขันรุนแรงขึ้น”ถึง 71% รองลงมา คือ “ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเพิ่มขึ้น” และ “ขาดแคลนบุคลากรระดับวิศวกร”
นอกจากนี้นักลงทุนญี่ปุ่นมี “ข้อเรียกร้องที่มีต่อรัฐบาลไทย” ส่วนใหญ่กังวลเรื่อง “การพัฒนาระบบและปรับเปลี่ยนการใช้งานระบบภาษีศุลกากร” เป็นอันดับ 1 โดยนายมิสึมาตะกล่าวว่า “แม้ประเทศไทยจะมีการปรับเปลี่ยนระบบภาษีศุลกากรบ้าง แต่นักธุรกิจญี่ปุ่นยังมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ขณะที่ภาคปฏิบัติในการเรียกเก็บภาษีแต่ละด่านยังมีความซับซ้อนและไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน”
ขณะที่ นายซึโยชิ อิโนอูเอะ กรรมการผู้จัดการ เจซีซี กล่าวว่า เร็ว ๆ นี้ รัฐบาลไทยได้ประกาศ พ.ร.บ.ศุลกากร 2560 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 13 พ.ย. 2560 เชื่อว่าหลังจากที่กฎหมายใหม่มีผลบังคับใช้จะช่วยคลายความกังวลต่อนักธุรกิจญี่ปุ่นมากขึ้น
ส่วนข้อเรียกร้องอันดับสอง ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ, ปัญหาด้านคมนาคมในกรุงเทพฯ, ความสงบในประเทศ, ปรับเปลี่ยนการใช้ระบบภาษี และปัญหาที่ได้รับความสนใจมากขึ้น คือ การป้องกันเหตุอุทกภัยอย่างจริงจัง
ด้านแผนขยายการลงทุนใน EEC หรือระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก พบว่าบริษัทญี่ปุ่นที่ตอบว่ามีแผนการลงทุนที่แน่นอนมีเพียง 5% สนใจลงทุนแต่ยังไม่มีแผนการชัดเจน 9% มีความสนใจระดับหนึ่ง 25% ไม่แน่ใจ 34% และไม่มีความสนใจที่จะลงทุนเพิ่มเติม 26%
โดยเจซีซีให้เหตุผลว่า สัดส่วนที่นักลงทุนญี่ปุ่นจะลงทุนใน EEC ไม่มาก เนื่องจากสมาชิกเกือบครึ่งหนึ่งเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) และส่วนใหญ่มีการลงทุนในกรุงเทพฯตอนเหนือแล้ว เช่น อยุธยา
นอกจากนี้ นักธุรกิจญี่ปุ่นให้เหตุผลในการขยายธุรกิจไปประเทศเพื่อนบ้าน โดย 30% มองว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว, 24% เรื่องการเพิ่มขึ้นของค่าแรง, 7% การขาดแคลนแรงงาน และ 5% ปัญหาน้ำท่วม
“หากมองในระยะยาว 5-10 ปีข้างหน้าญี่ปุ่นยังมองว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่มีเสน่ห์ในด้านการลงทุน แม้ปัญหาและข้อเรียกร้องจากบริษัทญี่ปุ่นจะเหมือนเดิม แต่เชื่อว่ารัฐบาลไทยได้พยายามที่จะแก้ไขอย่างเต็มที่ และต้องใช้เวลาในการแก้ไข ส่วนความสนใจในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม มองว่าเป็นเพียงการเข้าไปขยายฐานลงทุน มิใช่การย้ายฐานจากประเทศไทย
อีกทั้งประเภทของอุตสาหกรรมระหว่างไทยและเวียดนามมีความต่าง เช่น ประเทศไทยเหมาะสำหรับเป็นฮับในด้านอุตสาหกรรมขั้นสูง ส่วนเวียดนามเป็นอุตสาหกรรมการผลิตขั้นพื้นฐานทั่วไป แต่ปัญหาที่ประเทศไทยควรกังวลมากกว่า ได้แก่ ประสิทธิภาพของบุคลากรที่ต้องการการบ่มเพาะมากขึ้น และปรับเปลี่ยนศักยภาพตามความต้องการของตลาดให้เป็น” ประธานเจโทรกล่าว
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #68 เมื่อ:
สิงหาคม 06, 2017, 10:27:56 PM »
ลาวดัน “หลวงพระบาง” เป็น “เมืองท่องเที่ยวสะอาดแห่งอาเซียน”
วีโอเอ ภาษาลาว รายงานว่า นายอุ่นทอง ขาวฟัน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสารสนเทศวัฒนธรรม และการท่องเที่ยวของสปป.ลาว เปิดเผยว่า รัฐบาลสปป.ลาว มีแผนการพัฒนาและเร่งปรับปรุงยกระดับให้ “หลวงพระบาง” ให้ได้ตามมาตรฐานเมืองท่องเที่ยวสะอาดของอาเซียน (ACTS)
โดยเป้าหมายดังกล่าวจะได้รับการรับรอง ก็ต่อเมื่อรัฐบาลสปป.ลาว ได้ประเมินความเป็นไปได้เบื้องต้นและบรรดาประเทศสมาชิกต่างพร้อมให้การสนับสนุน ทั้งนี้ รัฐบาลได้ประสานงานและดำเนินการร่วมกันกับทางการแขวงหลวงพระบาง เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวในท้องถิ่นให้สามารถบรรลุความสำเร็จได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้ มาตรฐานเมืองท่องเที่ยวสะอาดแห่งอาเซียน จะวัดจากตัวดัชนีประการหลักๆ ได้แก่ การจัดการด้านสิ่งแวดล้อม การจำกัดของเสีย การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการปกป้องสิ่งแวดล้อมและความสะอาด โดยจะเป็นการตระหนักรู้อย่างรอบด้าน ทั้งจากคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว อีกทั้งยังต้องมีดัชนีเกี่ยวกับ ความปลอดภัยด้านสุขภาพ และความมั่นคงของเมือง เช่น ปัญหาโสเภณีเด็ก และยาเสพติด เป็นต้น
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #69 เมื่อ:
สิงหาคม 07, 2017, 10:49:45 PM »
กพร.หารือกฤษฎีกาตีความกม.แร่ฉบับใหม่กดดันเอกชนฟ้องขอคืนค่าภาคหลวงแร่ถ่านหิน 25%
นายวิษณุ ทับเที่ยง รองอธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่(กพร) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ กพร.ได้นัดหารือกับตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อสอบถามถึงข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติแร่(พ.ร.บ.) พ.ศ.2560(ฉบับใหม่) ที่จะมีผลบังคับใช้วันที่ 29 สิงหาคมนี้ ซึ่งกฎหมายฉบับใหม่ได้ยกเลิกการกำหนดหลักเกณฑ์การคืนค่าภาคหลวง 25% ให้กับผู้ประกอบการ ที่มีใช้แร่ถ่านหินในการประกอบกิจการ จากเดิมที่พ.ร.บ.แร่ฉบับปัจจุบันกำหนดว่าหากผู้ประกอบการใช้แร่ถ่านหินที่ผลิตในประเทศเป็นวัตถุดิบหรือเชื้อเพลิงในการประกอบธุรกิจ จะได้รับคืนค่าภาคหลวง 25% เพราะกังวลว่าหากมีเอกชนตกค้างยังไม่ยื่นขอคืนภาคหลวง และมายื่นหลังวันที่ 29 สิงหาคม อาจถูกตัดสิทธิและอาจนำไปสู่การฟ้องร้องต่อกพร.ในภายหลัง โดยกพร.จะทำหนังสืออย่างเป็นทางการขอให้กฤษฎีกามีการตีความข้อกฎหมายเรื่องการคืนค่าภาคหลวงถ่านหินให้ชัดเจนว่า หากเอกชนยื่นขอคืนหลังวันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ กพร.จะต้องทำดำเนินการ
“สาเหตุที่กฎหมายฉบับปัจจุบันที่ใช้มานานตั้งแต่ปี 2510 มีข้อกำหนดให้คืนภาคหลวง เพราะในอดีตรัฐบาลต้องการสนับสนุนให้ใช้แร่ถ่านหินเพื่อประกอบกิจการภายในประเทศ เป็นการกระตุ้นเอกชนทางหนึ่ง แต่ปัจจุบันแร่ดังกล่าวมีจำนวนไม่มาก ส่วนใหญ่กระจายอยู่ในภาคเหนือ ในกฎหมายใหม่จึงไม่มีการกำหนดไว้ แต่เพื่อไม่ประมาท ทางกรมฯจึงขอหารือกับกฤษฎีกา เพราะกังวลว่าหากมีเอกชนตกค้างขอคืนค่าภาคหลวง 25%”นายวิษณุกล่าว
ทั้งนี้ปัจจุบันการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ถือเป็นผู้ใช้ถ่านหินในประเทศเป็นหลัก ได้รับคืนค่าภาคหลวงแล้ว 60 ล้านบาทต่อปี และมีผู้ประกอบการผลิตปูนซิเมนต์ ประกอบด้วย ปูนซิเมนต์ไทย ปูนนครหลวง และปูนเอเชีย ที่ใช้ถ่านหินในกระบวนการผลิตเช่นกัน ซึ่งกลุ่มนี้ยังไม่ได้ขอรับค่าภาคหลวงคืน มูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #70 เมื่อ:
สิงหาคม 07, 2017, 10:50:20 PM »
สนช.อนุมัติงบบูรณาการปี”61 ใต้ 6 ยุทธศาสตร์ เพิ่มผลิตภัณฑ์เกษตรวงเงิน 9.4 พันล้านบาท
น.ส.จริยา สุทธิไชยา เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจําปี 2561 ภายใต้ 6 ยุทธศาสตร์ 29 แผนบรูณาการของกระทรวง กรมต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนประเทศให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ โดย สศก. เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานแผนงานบูรณาการพัฒนาศักยภาพการผลิตภาคเกษตร และมีหน่วยงานร่วมดำเนินการ 7 กระทรวง 28 หน่วยงาน 2 รัฐวิสาหกิจ ภายใต้หลักการบริหารจัดการสินค้าเกษตร และให้เกษตรกรเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา ซึ่งเน้น 3 เป้าหมาย ภายใต้งบประมาณ 9,456.6522 ล้านบาท
ประกอบด้วย 1.เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินค้าเกษตรตลอดห่วงโซ่อุปทาน เน้นสินค้า ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน อ้อย สับปะรด ไม้ผล ยางพารา ปศุสัตว์ ประมง วงเงิน 4,826.3962 ล้านบาท อาทิ การพัฒนาศักยภาพกระบวนการผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพมาตรฐานตามความต้องการของตลาด (ต้นทาง) วงเงิน 4,165.7690 ล้านบาท เพื่อดำเนินการด้านข้อมูลสารสนเทศและการบริหารจัดการ ส่งเสริมการใช้ปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ พัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตร และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การพัฒนาศักยภาพกระบวนการแปรรูปสินค้าเกษตร (กลางทาง) วงเงิน 205.8676 ล้านบาท เพื่อดำเนินการพัฒนากระบวนการและแปรรูปสินค้า พัฒนาอุตสาหกรรมเกษตร ส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่ม พัฒนาศักยภาพการดำเนินธุรกิจ การพัฒนาศักยภาพกระบวนการตลาดสินค้าเกษตร (ปลายทาง) วงเงิน 454.7596 ล้านบาท เพื่อดำเนินการพัฒนาตลาดเกษตรกร ขยายช่องทางการตลาดสินค้าเกษตร สร้างความสามารถในการแข่งขันตลาดสินค้าเกษตร
2.ลดต้นทุนการผลิต และยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร เพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นการพัฒนาเกษตรสมัยใหม่สู่ไทยแลนด์ 4.0 โดยใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง วงเงิน 3,192.9653 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการ อาทิ ระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ 3,980 แปลง ปรับเปลี่ยนกิจกรรมการผลิตในพื้นที่ไม่เหมาะสมตามแผนที่เกษตรเชิงรุก (อกริ-แมพ) 418,500 ไร่ ปรับปรุงข้อมูลในแผนที่อกริ-แมพ โครงการศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร 882 ศูนย์ ยกระดับเกษตรกรเป็นสมาร์ท ฟาร์มเมอร์ 73,715 ราย จัดตั้งสถาบันเกษตรกรในรูปแบบประชารัฐ 100 แห่ง จัดตังและพัฒนาธนาคารสินค้าเกษตร 173 แห่ง 3.พัฒนาศักยภาพเกษตรกรให้เข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน วงเงิน 1,437.2907 ล้านบาท ประกอบด้วย การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ ยโสธรโมเดล พื้นที่ทั่วไป 368,503 ไร่ เกษตรทฤษฎีใหม่ 210,000 ไร่ เกษตรผสมผสาน 33,500 ไร่ วนเกษตร 65,000 ไร่
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #71 เมื่อ:
สิงหาคม 07, 2017, 10:50:53 PM »
อธิบดีกรมชลฯ สั่งคุมเข้มอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศ ที่มีระดับน้ำเกิน 80% เร่งพร่องน้ำต่อเนื่อง
อธิบดีกรมชลฯ สั่งคุมเข้มอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศ ที่มีระดับน้ำเกิน 80% เร่งพร่องน้ำต่อเนื่อง อาศัยจังหวะฝนลดน้อยลงในระยะนี้ ย้ำต้องไม่กระทบพื้นที่ด้านท้าย
นายสัญชัย เกตุวรชัย อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า จากปริมาณฝนที่ตกในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง หลายแห่งทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้น แต่จากการติดตามสถานการณ์ฝนของกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่าจะมีฝนตกน้อยลงในระยะนี้ จึงได้สั่งการให้สำนักงานชลประทานและโครงการชลประทานที่รับผิดชอบในแต่พื้นที่ เร่งดำเนินการลดระดับน้ำให้อยู่ในเกณฑ์การบริหารจัดการอ่างเก็บน้ำ อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำไหลเข้า (Inflow) มากกว่าความจุของอ่างฯ รวมถึงอ่างเก็บน้ำที่มีพื้นที่รับน้ำฝนขนาดใหญ่ (Watershed area) เมื่อฝนตกหนักจะมี Inflow เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะไม่กระทบกับประชาชนที่อยู่ด้านท้ายของอ่างเก็บน้ำ
ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่มีระดับน้ำสูงกว่าเกณฑ์ควบคุมน้ำสูงสุด (upper rule curve) 11 แห่ง คือ อ่างเก็บน้ำกิ่วคอหมา อ่างฯแควน้อยบำรุงแดน อ่างฯน้ำอูน อ่างฯห้วยหลวง อ่างฯน้ำพุง อ่างฯจุฬาภรณ์ อ่างฯอุบลรัตน์ อ่างฯลำปาว อ่างฯสิรินธร อ่างฯป่าสักชลสิทธิ์ และอ่างฯทับเสลา ส่วนอ่างเก็บน้ำขนาดกลางที่มีปริมาณน้ำเก็บกักอยู่ระหว่างร้อยละ 80-100 จำนวน 153 แห่ง และอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำเก็บกักมากกว่าร้อยละ 100 จำนวน 77 แห่ง ซึ่งปัจจุบันอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง มีปริมาณน้ำรวม 48,476 ล้าน ลบ.ม.หรือคิดเป็นร้อยละ 64 มากกว่าปี 2559 รวม 13,804 ล้าน ลบ.ม. สามารถรองรับน้ำได้อีก 26,739 ล้าน ลบ.ม.
สำหรับอ่างเก็บน้ำขนาดกลางที่มีระดับมากกว่าร้อยละ 80 ของความจุอ่างเก็บน้ำ หลายอ่างได้จัดทำกาลักน้ำ เพื่อช่วยเพิ่มอัตราการระบายอีกช่องทางหนึ่ง นอกเหนือจากการระบายน้ำปกติของตัวอ่าง ให้เหลือปริมาณน้ำต่ำกว่า ร้อยละ 80 อาทิ อ่างเก็บน้ำด่านชุมพล อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด อ่างเก็บน้ำห้วยลิ้นควาย อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำสวย และอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำแห้ว จังหวัดเลย อ่างเก็บน้ำลาดกระทิง ตำบลลาดกระทิง อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา อ่างเก็บน้ำห้วยเรือ ตำบลดงมะไฟ อำเภอเมืองจังหวัดสกลนคร เป็นต้น โดยไม่ให้กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนที่อยู่ด้านท้ายอ่างเก็บน้ำ พร้อมให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบบริหารจัดการน้ำ ติดตาม วิเคราะห์ และเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ตลอด 24 ชั่วโมง และประสานเรื่องข้อมูลและการแจ้งเตือนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่อย่างใกล้ชิด เตรียมเครื่องจักร เครื่องมือ พร้อมเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ บรรเทาและแก้ไขสถานการณ์ ช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที เนื่องจากประเทศไทยยังอยู่ในช่วงฤดูฝน อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวในต้อนท้าย
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #72 เมื่อ:
สิงหาคม 07, 2017, 10:51:19 PM »
สศก. แถลง GDP เกษตร ไตรมาส 2 ขยายตัวได้ถึงร้อยละ 11.5 หลังภัยแล้งคลี่คลาย เผย ทุกสาขาการผลิตขยายตัวหมด โดยเฉพาะสาขาพืช โตถึงร้อยละ 15.5 ทั้งปีส่งสัญญาณดี คาดขยายตัวร้อยละ 2.5 – 3.5 ย้ำในช่วงครึ่งปีหลังยังต้องเกาะติดสถานการณ์ภัยธรรมชาติอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
นางสาวจริยา สุทธิไชยา เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจการเกษตรไตรมาส 2 ปี 2560 (เมษายน – มิถุนายน 2560) ขยายตัวร้อยละ 11.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 โดยทุกสาขาการผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยหนุนที่ทำให้ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรไตรมาส 2 ขยายตัวได้ในระดับสูง คือ ปริมาณน้ำใช้การได้ในอ่างเก็บน้ำที่สำคัญมีเพียงพอต่อการผลิตสินค้าเกษตรหลายชนิด สภาพอากาศที่เอื้ออำนวยกว่าปีที่ผ่านมา ตลอดจนการดำเนินนโยบายและมาตรการทางด้านการเกษตรต่างๆ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่างต่อเนื่อง ที่ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลง เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและยกระดับมาตรฐานการผลิตสินค้าเกษตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ สะท้อนจากเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในไตรมาส 2 ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 16.8 ถึงแม้ว่าดัชนีราคาสินค้าเกษตรที่เกษตรกรขายได้แผ่วลง ติดลบร้อยละ 1.9 แต่ดัชนีรายได้เกษตรกรยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.6 เนื่องจากมูลค่าการผลิตข้าวนาปรัง ยางพารา ทุเรียน มังคุด และเงาะ ซึ่งเป็นสินค้าเกษตรหลักในไตรมาส 2 เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้การส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มที่ดี ในส่วนของภาพรวมทั้งปี 2560 มีแนวโน้มขยายตัวดีร้อยละ 2.5 – 3.5 ทั้งนี้ ยังต้องเกาะติดสถานการณ์ทั้งภาวะฝนตกหนักจากอิทธิพลของลมมรสุมและพายุ ความแปรปรวนของอากาศ และโรคระบาด ที่อาจกระทบต่อภาคเกษตรครึ่งปีหลัง หากวิเคราะห์ในแต่ละสาขา พบว่า
สาขาพืช ไตรมาส 2 ขยายตัวร้อยละ 15.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยผลผลิตพืชสำคัญที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวนาปรัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง อ้อยโรงงาน สับปะรดโรงงาน ยางพารา ปาล์มน้ำมัน รวมทั้งกลุ่มไม้ผล ได้แก่ ลำไย ทุเรียน มังคุด และเงาะ สำหรับ ข้าวนาปรัง มีผลผลิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำที่สำคัญมีมากกว่าปีที่ผ่านมา เพียงพอต่อการปลูกข้าว ทำให้เกษตรกรสามารถกลับมาปลูกข้าวนาปรังได้ ถึง 10.89 ล้านไร่ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 112.0 เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่มีเนื้อที่เพาะปลูกเพียง 5.14 ล้านไร่ (เนื้อที่ปลูกข้าวนาปรังก่อนประสบปัญหาภัยแล้ง อยู่ที่ประมาณ 12 – 16 ล้านไร่) ยางพารา มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากยางพาราที่ปลูกในปี 2554 แทนพื้นที่พืชไร่ ไม้ผล นาข้าว และพื้นที่ตัดโค่นต้นยางเก่า เริ่มให้ผลผลิต ปาล์มน้ำมัน มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นปาล์มที่ปลูกใหม่ในปี 2557 แทนพื้นที่นาข้าว สวนเงาะ สวนลองกอง และพื้นที่ว่างเปล่า เริ่มให้ผลได้ในปีนี้ ประกอบกับปริมาณน้ำฝนในปี 2560 มีเพียงพอต่อความต้องการของต้นปาล์ม
กลุ่มไม้ผล ลำไย ผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นลำไยที่ปลูกในปี 2557 เริ่มให้ผลผลิต ประกอบกับสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการออกดอกติดผล ทุเรียน มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุเรียนที่ปลูกในปี 2555 เริ่มให้ผลผลิต ประกอบกับสภาพอากาศเย็นส่งผลดีต่อการออกดอกของทุเรียน และราคาทุเรียนที่อยู่ในเกณฑ์ดี จูงใจให้เกษตรกรมีการบำรุงและดูแลรักษาเพิ่มขึ้น มังคุด มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากปีที่ผ่านมาต้นมังคุดติดผลน้อย จึงมีระยะพักต้นเพื่อสะสมอาหารมากขึ้น ประกอบกับมีปริมาณน้ำฝนที่สม่ำเสมอและสภาพอากาศเย็น ทำให้มังคุดติดดอกออกผลเพิ่มมากขึ้น และ เงาะ มีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยให้ออกดอกและติดผลดี
ด้านราคา พืชที่สำคัญในไตรมาส 2 เช่น ยางพารา ทุเรียน และมังคุด ปรับตัวดีขึ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากความต้องการของตลาดยังคงมีอย่างต่อเนื่อง การส่งออกในช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน 2560 สินค้าพืชและผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวรวม ลำไยและผลิตภัณฑ์ ทุเรียนและผลิตภัณฑ์ เงาะและผลิตภัณฑ์ และมังคุด สินค้าพืชที่มีปริมาณและมูลค่าส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ และน้ำมันปาล์ม ส่วนสินค้าพืชที่มีปริมาณส่งออกลดลงแต่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา และน้ำตาลและผลิตภัณฑ์
สาขาปศุสัตว์ ไตรมาส 2 ขยายตัวร้อยละ 2.0 ผลผลิตหลัก ได้แก่ ไก่เนื้อ สุกร ไข่ไก่ และน้ำนมดิบ ซึ่งมีปริมาณเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มปริมาณการผลิตเพื่อรองรับตามความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับมีการดูแลเฝ้าระวังและควบคุมโรคระบาดได้ดี ด้านราคา ในช่วงไตรมาส 2 สินค้าปศุสัตว์ที่มีราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ได้แก่ ไก่เนื้อ และน้ำนมดิบ ในขณะที่สุกรและไข่ไก่มีราคาเฉลี่ยลดลง
การส่งออก สินค้าปศุสัตว์โดยรวมในช่วงไตรมาส 2 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น การส่งออกเนื้อไก่และผลิตภัณฑ์ขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งเนื้อไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและเนื้อไก่ปรุงแต่ง โดยการส่งออกไปญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดหลักมีการขยายตัวได้ดี ส่วนการส่งออกไปอาเซียนเพิ่มขึ้นในตลาดสิงคโปร์ และการส่งออกไปยังเกาหลีใต้ที่อนุญาตให้นำเข้าเนื้อไก่สดแช่เย็นแช่แข็งจากไทยได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2559 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกเนื้อไก่สดแช่เย็นแช่แข็งรวมเพิ่มขึ้น สำหรับการส่งออกเนื้อสุกรแช่เย็นแช่แข็งมีการขยายตัวทั้งในตลาดอาเซียนและฮ่องกง ส่วนการส่งออกนมและผลิตภัณฑ์ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นจากกลุ่มประเทศอาเซียนโดยเฉพาะกัมพูชาเป็นประเทศคู่ค้าหลัก
สาขาประมง ไตรมาส 2 ขยายตัวร้อยละ 5.2 เป็นผลมาจากผลผลิตกุ้งทะเลเพาะเลี้ยงออกสู่ตลาดมากขึ้น เกษตรกรมีการบริหารจัดการฟาร์มที่ดี ใช้พันธุ์กุ้งที่ต้านทานต่อโรค สำหรับปริมาณสัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือในภาคใต้มีทิศทางลดลง ส่วนผลผลิตประมงน้ำจืด เช่น ปลานิล และปลาดุก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำมีเพียงพอต่อ การเลี้ยง ด้านราคา ในช่วงไตรมาส 2 ราคากุ้งขาวแวนนาไม (ขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม) ปลานิลขนาดกลาง และปลาดุกบิ๊กอุย (ขนาด 2 – 4 ตัวต่อกิโลกรัม) ที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยลดลง ซึ่งเป็นการลดลงตามปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น การส่งออกสินค้าประมงและผลิตภัณฑ์ ในช่วงไตรมาส 2 ปลาและผลิตภัณฑ์มีปริมาณและมูลค่าส่งออกลดลง ปลาหมึกและผลิตภัณฑ์มีปริมาณส่งออกลดลง แต่มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ส่วนกุ้งและผลิตภัณฑ์มีปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ตามความต้องการซื้อจากตลาดต่างประเทศ
สาขาบริการทางการเกษตร ไตรมาส 2 ขยายตัวร้อยละ 6.5 จากการจ้างบริการ เตรียมดิน ไถพรวนดิน และการให้บริการเกี่ยวนวดข้าวนาปรังที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การใช้บริการรถเก็บเกี่ยวอ้อยโรงงานมีการขยายตัว จากพื้นที่เก็บเกี่ยวที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาอ้อยอยู่ในเกณฑ์ดี จึงส่งผลให้เกษตรกรเร่งเตรียมพื้นที่ปลูกและลงตออ้อยใหม่ทดแทน
สาขาป่าไม้ ไตรมาส 2 ขยายตัวประมาณร้อยละ 2.3 ผลผลิตสำคัญ ได้แก่ ไม้ยางพารา ไม้ยูคาลิปตัส และครั่ง โดยการเพิ่มขึ้นของไม้ยางพารามีปัจจัยหลักมาจากการตัดโค่นสวนยางพาราเก่าเพื่อปลูกทดแทนด้วยยางพาราพันธุ์ดีและพืชอื่น ส่วนไม้ยูคาลิปตัสยังคงเพิ่มขึ้นจากความต้องการใช้ในภาคก่อสร้าง อุตสาหกรรมแปรรูป และผลผลิตครั่งเพิ่มขึ้นจากสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยส่งผลให้ครั่งมีการเจริญเติบโตและฟื้นตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจการเกษตรปี 2560 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2.5 – 3.5 โดยทุกสาขา การผลิต ได้แก่ สาขาพืช สาขาปศุสัตว์ สาขาประมง สาขาบริการทางการเกษตร และสาขาป่าไม้ ขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศและปริมาณน้ำที่เอื้อต่อการผลิตทางการเกษตรมากขึ้น ผลผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญหลายชนิดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมาก เช่น ข้าวนาปรัง ผลไม้ต่างๆ และอ้อยโรงงาน เป็นต้น ประกอบกับมีแรงหนุนที่สำคัญจากการดำเนินนโยบายและมาตรการด้านการเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อช่วยขับเคลื่อนให้ภาคเกษตรเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ต่างๆ อาทิ ความผันผวนของสภาพภูมิอากาศ และโรคระบาด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรในช่วงครึ่งหลังของปี 2560
รายงานภาวะเศรษฐกิจการเกษตรไตรมาส 2/2560 (เม.ย. – มิ.ย. 2560) ซึ่งเติบโตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 11.50 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งอาจจะมีความเห็นในบางมุมมองว่าการเติบโตดังกล่าวไม่อาจสะท้อนสภาพความเป็นจริงของเศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะเกษตรกรในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ เนื่องจากปัจจัยคุกคามปัจจุบันในช่วงครึ่งหลังของปี เช่น (1) ราคาสินค้าเกษตรซึ่งเป็นสินค้าหลักบางชนิด ได้แก่ ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ไม้ผล ซึ่งเป็นสินค้าเศรษฐกิจสำคัญมีแนวโน้มลดลง (2) ปัญหาภัยธรรมชาติที่กำลังเผชิญในขณะนี้ ในพื้นที่ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ (3) สภาพการใช้จ่ายในครัวเรือนมีภาระหนี้สินสะสมอยู่ (4) ภาวะเศรษฐกิจโลกและคู่ค้าสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะจีนและกลุ่มประเทศอาเซียน มีอุปสงค์ชะลอตัว และปรับยุทธศาสตร์การผลิตการเกษตรในประเทศให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
ในภาวะเศรษฐกิจการเกษตรครี่งหลังของปี นโยบายขับเคลื่อนการเกษตรเพื่อแก้ปัญหาและกระตุ้นความเป็นอยู่ของเกษตรกรและเศรษฐกิจฐานราก จะเพิ่มการบูรณาการและระดมสรรพกำลังแบบประชารัฐ โดยเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคเกษตรในไตรมาสที่ 4 (ก.ค. – ก.ย.) ของปีงบประมาณ 2560 และ
ไตรมาสที่ 1 (ต.ค. – ธ.ค.) ของปีงบประมาณ 2561 และเร่งกระจายการผลิตไปยังพื้นที่ที่เหมาะสมให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเร่งระบายผลผลิตสินค้าเกษตรส่วนเกินในช่วงที่ผลผลิตออกมามากที่สุด ไปยังแหล่งบริโภคภูมิภาคอื่น ๆ ของประเทศ รวมทั้งพื้นที่การค้าชายแดนด้วย
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #73 เมื่อ:
สิงหาคม 07, 2017, 10:51:48 PM »
เปิดงบแผนบูรณาการเกษตรปี’61 วงเงินกว่า 9.4 พันล้านบาท หวังสร้างเกษตรกรแข็งแกร่งขึ้น
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เผยวงเงินงบประมาณแผนงานบูรณาการพัฒนาศักยภาพการผลิตภาคเกษตร ปี 2561 รวม 9,456 ล้านบาท พร้อมแจงวงเงินทั้ง 3 เป้าหมาย เตรียมเดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินค้าเกษตร พัฒนาเศรษฐกิจภาคเกษตรให้เติบโตอย่างเต็มประสิทธิภาพ
นางสาวจริยา สุทธิไชยา เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2561 ภายใต้ 6 ยุทธศาสตร์ 29 แผนบรูณาการของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนประเทศให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ โดยปีงบประมาณ 2561 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานแผนงานบูรณาการพัฒนาศักยภาพการผลิตภาคเกษตร และมีหน่วยงานร่วมดำเนินการ 7 กระทรวง 28 หน่วยงาน 2 รัฐวิสาหกิจ ภายใต้หลักการบริหารจัดการสินค้าเกษตร (Product Base) และให้เกษตรกรเป็นศูนย์กลางในการพัฒนา (Farmer Center) ซึ่งเน้นใน 3 เป้าหมาย ภายใต้งบประมาณ 9,456.6522 ล้านบาท ดังนี้
เป้าหมายที่ 1 เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินค้าเกษตรตลอดห่วงโซ่อุปทาน เน้นสินค้า ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน อ้อย สับปะรด ไม้ผล (ลำไย ทุเรียน เงาะ มังคุด) ยางพารา ปศุสัตว์ (โคนม โคเนื้อ) ประมง (กุ้ง ปลานิล) วงเงิน 4,826.3962 ล้านบาท ประกอบด้วย
1) การพัฒนาศักยภาพกระบวนการผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพมาตรฐานตามความต้องการของตลาด (ต้นทาง) วงเงิน 4,165.7690 ล้านบาท เพื่อดำเนินการด้านข้อมูลสารสนเทศและการบริหารจัดการ ส่งเสริมการใช้ปัจจัยการผลิต ที่มีคุณภาพ/ประสิทธิภาพ พัฒนาคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตร และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
2) การพัฒนาศักยภาพกระบวนการแปรรูปสินค้าเกษตร (กลางทาง) วงเงิน 205.8676 ล้านบาท เพื่อดำเนินการพัฒนากระบวนการและแปรรูปสินค้า พัฒนาอุตสาหกรรมเกษตร ส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่ม พัฒนาศักยภาพการดำเนินธุรกิจ
3) การพัฒนาศักยภาพกระบวนการตลาดสินค้าเกษตร (ปลายทาง) วงเงิน 454.7596 ล้านบาท เพื่อดำเนินการพัฒนาตลาดเกษตรกร ขยายช่องทางการตลาดสินค้าเกษตร สร้างความสามารถในการแข่งขันตลาดสินค้าเกษตร
เป้าหมายที่ 2 ลดต้นทุนการผลิต และยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร เพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืน เป็นการพัฒนาเกษตรสมัยใหม่สู่ไทยแลนด์ 4.0 โดยใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง วงเงิน 3,192.9653 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการ อาทิ ระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ 3,980 แปลง ปรับเปลี่ยนกิจกรรมการผลิตในพื้นที่ไม่เหมาะสมตาม Agri – Map 418,500 ไร่ ปรับปรุงข้อมูลในแผนที่ Agri – Map โครงการศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร 882 ศูนย์ ยกระดับเกษตรกรเป็น Smart Farmer 73,715 ราย จัดตั้งสถาบันเกษตรกรในรูปแบบประชารัฐ 100 แห่ง จัดตังและพัฒนาธนาคารสินค้าเกษตร 173 แห่ง
เป้าหมายที่ 3 พัฒนาศักยภาพเกษตรกรให้เข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน วงเงิน 1,437.2907 ล้านบาท ประกอบด้วย การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ /ยโสธรโมเดล /พื้นที่ทั่วไป 368,503 ไร่ เกษตรทฤษฎีใหม่ 210,000 ไร่ เกษตรผสมผสาน 33,500 ไร่ (4) วนเกษตร 65,000 ไร่
ทั้งนี้ แผนบูรณาการการพัฒนาศักยภาพการผลิตภาคเกษตร จะช่วยยกระดับการผลิตและการบริหารจัดการสินค้าเกษตร เพิ่มรายได้ทางการเกษตรของครัวเรือนเกษตร และนำไปสู่การพัฒนาภาคการเกษตรของประเทศอย่างยั่งยืน
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #74 เมื่อ:
สิงหาคม 07, 2017, 10:52:18 PM »
พาณิชย์ปลื้ม นักลงทุนญี่ปุ่นเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย พร้อมตอบรับนำทัพเอกชนเข้าร่วมงานสัมมนา ฉลอง 130 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต
ประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ คนใหม่ นายโซจิ ซาคาอิ พร้อมคณะผู้บริหาร เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางอภิรดี ตันตราภรณ์ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2560 เพื่อรับทราบนโยบายด้านเศรษฐกิจ และหารือเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย พร้อมรายงานผลการสํารวจแนวโน้ม ทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ช่วงครึ่งแรกของปี 2560
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หอการค้าญี่ปุ่น (Japanese Chamber of Commerce : JCC) นำคณะผู้บริหารชุดใหม่เข้ามาแนะนำตัว พร้อมหารือประเด็นทางเศรษฐกิจต่าง ๆ รวมถึงรายงานผลการสํารวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ช่วงครึ่งแรก ของปี 2560 โดยผลการสำรวจดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า บริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยมีแนวโน้มเชื่อมั่นในการ ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นกว่าครึ่งหลังของปี 2559 และคาดว่าเศรษฐกิจในประเทศไทยจะปรับตัว ดีขึ้นในครึ่งหลังของปี 2560
ทั้งนี้ บริษัทญี่ปุ่นร้อยละ 44 มีแผนจะขยายการลงทุนในประเทศ และบริษัทญี่ปุ่น อีกร้อยละ 50 จะไม่เปลี่ยนแปลงปริมาณการส่งออกจากประเทศไทย ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้ยืนยัน ว่าจะพยายามอย่างเต็มในการเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน เพื่อก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง และ พัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น 4.0 (Local Economy 4.0) โดยมุ่งเน้นการยกระดับความสามารถในการแข่งขัน เพื่อเพิ่มรายได้ของประชาชนในท้องถิ่น และกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาคภายใต้หลักคิดของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ว่า “เราจะเดินหน้าไปด้วยกัน” และ “จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังให้ความสำคัญต่อการเสริมสร้างความเชื่อมโยงใน CLMVT โดยพร้อมที่จะเป็นฐานการส่งออกของภูมิภาคอาเซียนผ่านการเป็นศูนย์กลางด้านการขนส่ง การคมนาคม และการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของกลุ่มประเทศ CLMVT ซึ่งจะเชื่อมโยงกับนโยบาย “connected industries” และยุทธศาสตร์ “Thailand Plus One” ของญี่ปุ่น
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แจ้งภาคเอกชนญี่ปุ่นอีกว่า “กระทรวงพาณิชย์มุ่งเน้น การสร้างบรรยากาศเพื่ออำนวยความสะดวกทางด้านการค้าและการลงทุน ล่าสุด ได้เปิดให้บริการ “ระบบ จดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Registration)” อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2560 เพื่ออำนวยความสะดวกในการจดทะเบียนนิติบุคคลให้ทันสมัยและรวดเร็วยิ่งขึ้น”
อย่างไรก็ดี เนื่องในโอกาสครบรอบ 130 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–ญี่ปุ่น กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จะจัดงานสัมมนาส่งเสริมการลงทุนสำหรับนักธุรกิจ
และภาคเอกชนญี่ปุ่นในเดือนกันยายน 2560 เพื่อประชาสัมพันธ์ศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย และ ศึกษาดูงานโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมทั้งกิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจและการลงทุนระหว่างผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่น โดยประธานหอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ ยินดีที่จะ ช่วยประชาสัมพันธ์แก่นักธุรกิจและนักลงทุนญี่ปุ่นในและนอกประเทศต่อไป
ในปี 2559 ญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนอันดับ 1 โดยมีมูลค่าการลงทุน 57,898 ล้านบาท และปัจจุบันมีเงินลงทุนสะสมโดยตรงในไทย (ปี 2548-2559) 1,351,546 ล้านบาท และคู่ค้าอันดับ 2 ของไทย (รองจากจีน) โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2555-2559) มีมูลค่าการค้าเฉลี่ยปีละ 70,510.61 ล้านเหรียญสหรัฐ และในปี 2559 การค้า รวมระหว่างไทยกับญี่ปุ่นมีมูลค่า 51,241 ล้านเหรียญสหรัฐ อัตราการเติบโตลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ 0.11 สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปญี่ปุ่น ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไก่แปรรูป เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์พลาสติก เม็ดพลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่น ๆ และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญของไทยจากญี่ปุ่น ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ และเครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
ในปี 2559 มีคนญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในประเทศไทยมากกว่า 70,000 คน ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเดินทาง
เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย จำนวน 1,439,629 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ร้อยละ 4.19 ซึ่งเป็นอันดับ 4 รองจากจีน มาเลเซีย และเกาหลีใต้ ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น จำนวน 901,458 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ร้อยละ 13.14
บันทึกการเข้า
พิมพ์
หน้า:
1
2
[
3
]
4
5
...
9
ขึ้นบน
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
Music Massage by Pong: นวดประกอบเพลงโดยพงษ์
»
Members' Forum
»
มุมทั่วไป มุมความรู้ เคล็ดลับต่างๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ
(ผู้ดูแล:
admin
) »
อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
Calendar
พฤศจิกายน 2024
อา.
จ.
อ.
พ.
พฤ.
ศ.
ส.
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
[22]
23
24
25
26
27
28
29
30
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌18.00(Booked)
- Birthdays -
psynoiflek (43)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌18.00(Booked)
❌14.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Birthdays -
rocoqutetiyu (39)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌18.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌18.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌20.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Birthdays -
prwzy (31)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Birthdays -
zero_man (113)
- Today's Events -
❌18.00(Booked)
❌20.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌12.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌18.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌14.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌14.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
- Birthdays -
jhanthai (39)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌18.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌12.00(Booked)
❌20.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌18.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌12.00(Booked)
❌20.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌18.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌18.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌20.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Birthdays -
CJSyd (49)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌14.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌12.00(Booked)
❌18.00(Booked)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Birthdays -
tymboss
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌18.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌14.00(Booked)
❌20.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌18.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌14.00(Booked)
❌12.00(Booked)
✅18.00(free)
❌20.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌18.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌20.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
✅14.00(Free)
✅12.00(Free)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
No calendar events were found.