Music Massage by Pong: นวดประกอบเพลงโดยพงษ์
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว:
หน้าแรก
ช่วยเหลือ
ค้นหา
ปฏิทิน
Recent Topics
สมาชิก
View the memberlist
ค้นหาผู้ใช้
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
Like stats
Music Massage by Pong: นวดประกอบเพลงโดยพงษ์
»
Members' Forum
»
มุมทั่วไป มุมความรู้ เคล็ดลับต่างๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ
(ผู้ดูแล:
admin
) »
อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
หน้า:
1
...
6
7
[
8
]
9
ลงล่าง
ผู้เขียน
หัวข้อ: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ (อ่าน 9564 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #175 เมื่อ:
พฤศจิกายน 14, 2017, 09:49:06 PM »
พาณิชย์เร่งดำเนินการตามนโยบายมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง สามารถผลักดันราคาให้สูงขึ้น
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 - 11:17 น.
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า จากที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรคาดการณ์ผลผลิตมันสำปะหลังของไทย ปี 2560/61 มีประมาณ 28.57 ล้านตัน ลดลงจากปีก่อน 7.69% เนื่องจากเกษตรกรบางพื้นที่ปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ซึ่งปัจจุบันราคาหัวมันสด ที่เกษตรกรขายได้ เชื้อแป้ง 25% กก.ละ 1.90 – 2.05 บาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีราคา กก.ละ 1.75 บาท และคาดว่าราคายังคงมีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากเป็นต้นฤดูการเก็บเกี่ยว ผลผลิตยังออกสู่ตลาดน้อย ขณะนี้ออกสู่ตลาดแล้ว 5.41% และจะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือน มกราคม – เมษายน 2561
ทั้งนี้ จากปัญหาเกษตรกรอำเภอโนนสุวรรณ จังหวัดบุรีรัมย์ ขายมันสำปะหลังได้ในราคา กก.ละ 1.50 บาท นั้น พาณิชย์จังหวัดได้มีการลงพื้นที่ติดตามปัญหาราคามันสำปะหลังตกต่ำได้ข้อเท็จจริงว่า จังหวัดบุรีรัมย์มีพื้นที่เพาะปลูกมันสำปะหลัง 3 แสนไร่ ผลผลิตประมาณ 1.2 ล้านตัน ผลผลิตออกสู่ตลาดแล้วประมาณ 5% ภาวะราคามันสำปะหลังในพื้นที่ตั้งแต่ผลผลิตออกสู่ตลาดราคาปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ณ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 ราคาหัวมันสด (คละ) กก.ละ 1.80 – 1.85 บาท (เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน กก.ละ 0.20 บาท) ราคาหัวมันสดเชื้อแป้ง 25% กก.ละ 2.25 บาท (เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน กก.ละ 0.40 บาท) ซึ่งเป็นราคาที่เกษตรกรพึงพอใจ โดยอัตราเชื้อแป้งเฉลี่ยอยู่ที่ 25 – 26% (อายุ 8 – 9 เดือน)
สำหรับมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง รัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปี 2560/61 โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติแนวทางการบริหารจัดการมันสำปะหลังปี 2560/61 จำนวน 14 โครงการ วงเงิน 551.659 ล้านบาท เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2560 โดยมีโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่สำคัญ เช่น การดูแลหนี้สินเดิมด้วยการพักชำระหนี้และลดดอกเบี้ยให้เกษตรกรที่เป็นสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรสำหรับในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาด การยกระดับมาตรฐานการผลิตและการแปรรูป และสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินให้เกษตรกร
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ ได้เตรียมแผนสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับมันสำปะหลัง โดยจะผลักดันให้มีการทำมันเส้นคุณภาพดีและมันเส้นสะอาด โดยดำเนินโครงการสนับสนุนเครื่องสับมันสำปะหลังให้วิสาหกิจชุมชน การสร้างโอกาสทางการค้าและพัฒนาผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และยังได้เตรียมมาตรการดูแลการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม สำนักงานพาณิชย์จังหวัดได้มีการประชาสัมพันธ์มาตรการแนวทางบริหารจัดการมันสำปะหลังให้เกษตรกรและผู้ที่เกี่ยวข้องทราบในจังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดที่เป็นแหล่งเพาะปลูกมันสำปะหลังอย่างต่อเนื่อง และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดบุรีรัมย์ยังได้เชื่อมโยงตลาดมันเส้นสะอาดระหว่างกลุ่มเกษตรกร/สหกรณ์การเกษตรโนนสุวรรณกับฟาร์มสุกร บริษัท อาร์เอ็มซี ฟาร์ม จำกัด อำเภอเมืองบุรีรัมย์ ปริมาณมันเส้นสะอาด 10,000 ตัน ในราคานำตลาดอีกด้วย
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #176 เมื่อ:
พฤศจิกายน 14, 2017, 09:49:27 PM »
คณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนถกอนาคต AEC
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 - 11:08 น.
คณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ปลื้มผลการเดินหน้าตามพิมพ์เขียวก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 2025 พร้อมรับรอง 23 แผนงานต่อยอดจากมาตรการเดิมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขยายมูลค่าการค้าและการลงทุนภายในอาเซียน เน้นเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ MSMEs ส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และนวัตกรรม
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงผลการหารือของคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 15 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 31 ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ว่าการประชุมครั้งนี้เป็นการหารือครั้งแรกในรอบ 2 ปี หลังจากการก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เมื่อปลายปี 2558 ซึ่งไทยได้กล่าวเน้นย้ำในที่ประชุมว่าอาเซียนต้องให้ความสำคัญของการเสริมสร้างผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดเล็ก และรายย่อย หรือ MSMEs ที่ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญในขณะนี้ และดำเนินการแก้ปัญหามาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษีอย่างจริงจัง เพื่อให้การค้าภายในอาเซียนขยายตัวได้อย่างเต็มที่
นางอภิรดีกล่าวเพิ่มเติมว่า ได้หารือความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 2025 (AEC Blueprint 2025) ซึ่งที่ประชุม AEC Council ได้รับรองแผนงานรายสาขา (Sectoral Work Plans) ได้ครบถ้วนทั้ง 23 แผนงาน โดย 3 แผนงานสุดท้ายที่ได้รับรอง คือ (1) แผนปฏิบัติการเชิงยุทธศาสตร์ด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้า โดยมีเป้าหมายที่จะลดต้นทุนธุรกรรมทางการค้าลงร้อยละ 10 ภายในปี 2563 และเพิ่มมูลค่าการค้าภายในภูมิภาคเป็น 2 เท่า ภายในปี 2568 (2) แผนการดำเนินการด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของอาเซียน ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินเพื่อส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ภายในภูมิภาค และ (3) แผนปฏิบัติการเชิงยุทธศาสตร์ด้านภาษีอากร ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินการด้านภาษีอากร เช่น การสนับสนุนการดำเนินการเพื่อจัดทำความตกลงอนุสัญญาภาษีซ้อนให้แล้วเสร็จ การขยายขอบเขตโครงสร้างภาษีหัก ณ ที่จ่าย การปรับปรุงการปฏิบัติงานในการแลกเปลี่ยนข้อมูลให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งแผนงานดังกล่าวเป็นแผนงาน/กิจกรรมที่จะดำเนินการนับจากนี้จนถึงปี 2568 รวมทั้งที่ประชุมครั้งนี้ได้รับรองปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยนวัตกรรม ซึ่งแสดงถึงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนในการใช้นวัตกรรมเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้เกิดการเติบโต และการแข่งขันของอุตสาหกรรมระดับภูมิภาค โดยเอกสารดังกล่าวจะเสนอต่อผู้นำอาเซียนให้ความเห็นชอบภายในการประชุมผู้นำอาเซียนในครั้งนี้
นางอภิรดีกล่าวว่า ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบรายงานของ AEC Council ต่อผู้นำอาเซียน ซึ่งมีข้อเสนอให้ผู้นำอาเซียนพิจารณา ได้แก่ การให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรรายสาขา และเสาหลักของประชาคมอาเซียน การให้ประเทศสมาชิก RCEP แสดงความยืดหยุ่นและปรับระดับความคาดหวัง เพื่อให้การเจรจาความตกลง RCEP บรรลุผล และการหารือในระดับนโยบายทั้งภายในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเอง และระหว่าง 3 เสา เพื่อมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน ครอบคลุมทุกภาคส่วน และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ ประเทศสมาชิกอาเซียนได้แสดงความยินดีกับความสำเร็จของฟิลิปปินส์ในฐานะประธานอาเซียนที่ได้ผลักดันประเด็นสำคัญให้บรรลุผลสำเร็จ เช่น การวัดผลสัมฤทธิ์ของมาตรการอำนวยความสะดวกทางการค้าของอาเซียน กรอบการดำเนินงานเพื่อให้ธุรกิจรายเล็กและรายย่อยมีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าโลก การส่งเสริมผู้ประกอบการสตรีและเยาวชน การปรับปรุงกฎระเบียบการจดทะเบียนธุรกิจของสมาชิกอาเซียนให้สอดคล้องกัน การจัดกิจกรรมเชื่อมโยงระหว่าง MSMEs กับบริษัทข้ามชาติ (MNEs) เป็นต้น และร่วมกันเสนอแนะประเด็นสำคัญที่ควรสานต่อในวาระที่สิงคโปร์เป็นประธานอาเซียนในปี 2561 เช่น การส่งเสริมนวัตกรรม พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และเศรษฐกิจดิจิทัล การเสริมสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ และการส่งเสริมการค้าบริการ เป็นต้น
ในปี 2559 อาเซียนมีมูลค่าการค้ารวม 2.24 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และมีการลงทุนโดยตรงเข้ามายังภูมิภาคอาเซียนมูลค่ารวม 98 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ นอกจากอาเซียนจะค้าขายกันเองมากที่สุดแล้ว คู่ค้ารายใหญ่นอกกลุ่มอาเซียน ได้แก่ จีน สหภาพยุโรป และสหรัฐฯ โดยสหภาพยุโรปยังคงเป็นผู้ลงทุนอันดับหนึ่งของอาเซียน ตามด้วยสหรัฐฯ และญี่ปุ่น
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #177 เมื่อ:
พฤศจิกายน 14, 2017, 09:49:49 PM »
กต.ไทย-อิหร่านหารือเศรษฐกิจ เผย9เดือนแรกปีนี้ มูลค่าการค้าพุ่ง150% ซื้อข้าว-ยางพาราเพิ่ม
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 - 22:01 น.
น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงผลการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ (Political Consultation) ไทย-อิหร่าน ครั้งที่ 3 ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ โดยมีนายเกริกพันธุ์ ฤกษ์จำนง อธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา เป็นประธานร่วมกับนายมาห์มูด ฟาราเซนเดห์ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออกและโอเชียเนีย กระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน
น.ส.บุษฎีกล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงภาพรวมความสัมพันธ์ทวิภาคีซึ่งมีความคืบหน้าโดยเฉพาะความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้า การลงทุน และความร่วมมือด้านต่างๆ ทั้งนี้การค้าปี 2560 มีมูลค่ารวมกว่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่า 150% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 โดยเฉพาะตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายนปีนี้อิหร่านซื้อข้าวจากไทยกว่า 250,000 ตันแล้ว
น.ส.บุษฎีกล่าวต่อว่า ทั้งสองฝ่ายพร้อมจะส่งเสริมการค้าข้าวจากไทยให้เพิ่มขึ้นอีกไปสู่ระดับที่เคยสูงสุดปีละ 700,000 ตัน ก่อนการคว่ำบาตรเมื่อปี 2549 และเห็นว่ายังสามารถผลักดันปริมาณการซื้อให้สูงขึ้นอีกได้ในอนาคต ขณะที่ฝ่ายอิหร่านได้แสดงความประสงค์จะซื้อยางพาราจากไทยเพิ่มมากขึ้นด้วย
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า ในการเยือนอิหร่านของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เมื่อต้นปี 2559 ไทยและอิหร่านได้ตั้งเป้าการค้าระหว่างกันไว้ที่ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2564 ขณะที่ภาคเอกชนทั้งสองฝ่ายได้ลงนามความตกลงซื้อขายข้าว 3 แสนตัน และยางพารา 2 หมื่นตัน
น.ส.บุษฎีกล่าวว่า ภายหลังการหารือระหว่างอธิบดีทั้งสอง นายฟาราเซนเดห์ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และได้หารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าข้าวและยางพารา โดยกระทรวงการต่างประเทศยังได้ประสานงานให้ฝ่ายอิหร่านเข้าพบหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงต่อไป
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #178 เมื่อ:
พฤศจิกายน 20, 2017, 09:56:53 PM »
“สมคิด”ดึงWEFจัดประชุมในไทย พอใจจีดีพีไตรมาส3 โต4.3% กระตุ้นอบจ.-อบต.ผุดไอเดียดันศก.
วันที่ 20 พฤศจิกายน 2560 - 19:45 น.
“สมคิด” ดึง WEF ใช้ไทยเป็นพื้นที่จัดงานประชุมสมัยพิเศษรอบกลางปี โชว์โมเดล ‘ประชารัฐ’ ผนึกรัฐและเอกชนเติบโตไปพร้อมกัน พอใจจีดีพีไตรมาส 3 โตทะลุ 4.3% สร้างเชื่อมั่นมากขึ้น แต่ยังจำเป็นต้องปรับ ครม. เพื่อความเหมาะสม
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังหารือกับสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum : WEF) ที่ได้เข้าร่วม“การจัดสัมมนา Competitiveness and Inclusive Growth: Navigating towards Thailand 4.0” ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2560 ณ โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ ว่า ไทยเสนอให้ WEF พิจารณาเลือกจัดการประชุมพิเศษ (Special Forum) ซึ่งจะเป็นการประชุมที่จัดขึ้นช่วงกลางปีของทุกปีขึ้นที่ประเทศไทย จากก่อนหน้านี้ที่ได้เวียนจัดที่กัมพูชา และเวียดนามไปแล้ว ซึ่งทาง WEF รับนำกลับไปพิจารณากำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมอีกครั้ง
พร้อมกันนี้ WEF ยังกล่าวชื่นชมประเทศไทยที่ดำเนินนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันหลายๆด้าน เช่น การศึกษา การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม และภาคบริการ ที่สำคัญไทยสามารถนำแนวทางประชารัฐหลายด้านมาปรับใช้และเห็นผลเป็นรูปธรรมถือเป็นสิ่งที่ดี และสอดรับกับตัวชี้วัดเกี่ยวกับเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ เติบโตไปพร้อมกันอย่างมีส่วนร่วม (Inclusive Growth Index) ซึ่งไทยอยู่ในอันดับ 12 จากปีก่อนอันดับที่ 16 และถือเป็นประเทศที่มีอันดับดีที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา 78 ประเทศ
@ มั่นใจ จีดีพีโตต่อเนื่องฟื้นความเชื่อมั่น
นายสมคิด กล่าวถึง ทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในปีหน้าว่า จากตัวเลขสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) รายงานตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ของปีนี้ ขยายตัว 4.3% เป็นสิ่งที่ดี หวังว่าจะเชื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคนไทย เพราะไทยสามารถแก้ปัญหาและผลักดันให้จีดีพี่ค่อยๆปรับตัวดีขึ้นตั้ง 0.8% เรื่อยมาจนใกล้เคียง 4% ถือว่าเศรษฐกิจไทยมาไกลมาก เพราะทุกฝ่ายร่วมกันทำงาน ผลดีสะท้อนออกมา หากไตรมาส 4 ยังอยู่ได้ในระดับนี้ 4-5% จะเป็นระดับที่ช่วยสร้างความมั่นใจได้มากยิ่งขึ้นทั้งยังการันตีการจ้างงานได้
“เราไม่ได้คาดหวังว่าจะปรับขึ้นไปอันดับเท่าไร แต่เราต้องการที่จะทำให้เศรษฐกิจท้องถิ่นเราเข้มแข็งกว่านี้ เพิ่มกำลังซื้อ ผลักดันราคาสินค้าเกษตรให้ดียั่งยืน และพัฒนาให้ธุรกิจ และประชาชนรองรับเข้าสู่ยุค 4.0 สร้างมูลค่าเพิ่มและหากเกิดการลงทุนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ( EEC) ในปีหน้ามีการประมูล นักลงทุนเริ่มมาลงทุน เชื่อว่าโมเมนต์ตั้มจะดีมาก”
@ยันปรับครม.เพื่อความเหมาะสมแม้ตัวเลขดี
ต่อคำถามว่าเมื่อตัวเลขเศรษฐกิจดีขนาดนี้ยังจำเป็นต้องปรับตัวบุคลากรในทีมเศรษฐกิจอยู่หรือไม่นานสมคิด กล่าวว่า การปรับเปลี่ยนตัวบุคคลถือเป็นเรื่องธรรมดาทางการเมือง ซึ่งขึ้นอยู่กับการพิจารณาของนายกรัฐมนตรี การปรับไม่ได้แปลว่าคนๆนั้นทำงานไม่ดี แต่เป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสม
@ จูงใจอบจ.-อบต.ออกไอเดีย ดันเศรษฐกิจ
นายสมคิด กล่าวว่า ขณะนี้กำลังเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณสำหรับให้องค์การบริหารงานส่วนท้องถิ่น ทั้งองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) โดยจะให้ท้องถิ่นจัดทำโครงการขึ้นมาว่าต้องการจะนำงบไปใช้พัฒนาเรื่องอะไรในท้องถิ่น และใช้เม็ดเงินเท่าไร เพื่อกระตุ้นให้มีการใช้งบประมาณพัฒนาท้องถิ่นให้ตรงจุด ทั้งนี้ปัจจุบันทางกระทรวงมหาดไทยมีงบประมาณสำหรับการพัฒนาท้องถิ่นอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องเร่งรัดการดำเนินการให้เร็วขึ้น
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #179 เมื่อ:
พฤศจิกายน 20, 2017, 09:57:14 PM »
“พาณิชย์” เชียร์ฮังการีลงทุน EEC ดึงจัดคณะเยือนไทย พ.ค.61 ด้านรัฐบาลฮังการีแง้มสนใจลงทุน “ปิโตรเคมี-พลังงาน” สานต่อ FTA ไทย-อียู
วันที่ 20 พฤศจิกายน 2560 - 18:28 น.
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าได้พบหารือกับนายปีเตอร์ ชยาโต้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้า ประเทศฮังการี เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2560 ในโอกาสที่ฮังการีเดินทางไปเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป หรืออาเซม ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ โดยได้หารือถึงแนวทางการขยายความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-ฮังการี
ในการหารือครั้งนี้ ฝ่ายฮังการีแสดงความสนใจนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของไทย (Eastern Economic Corridor : EEC) ของไทย จึงได้เชิญชวน ให้รัฐมนตรีฮังการีนำนักธุรกิจมาเยี่ยมชมและร่วมลงทุนใน EEC ซึ่งประกอบด้วย แผนการพัฒนาเมืองใหม่ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ครอบคลุมการขนส่งทางถนน ราง ท่าเรือ และท่าอากาศยาน ตลอดจนการเชื่อมโยงเศรษฐกิจจากภาคเหนือของไทยลงไปทางใต้ และจากภาคตะวันออกไปยังตะวันตก ซึ่งจะสามารถเชื่อมโยงกับโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (One Belt One Road: OBOR) ของจีน รวมทั้งเชื่อมโยงกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และอินเดียได้
นอกจากนี้ โครงการ EEC ยังส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ฮังการีมีความเชี่ยวชาญ อาทิ การแพทย์ การบริหารจัดการน้ำเสีย และอุตสาหกรรมอาหารปลอด GMO และปิโตรเคมี เป็นต้น ซึ่งรัฐมนตรีฮังการีแสดงความสนใจและเห็นว่าทั้งสองประเทศอาจร่วมมือกัน
“ได้เชิญชวนให้ฝ่ายฮังการีนำคณะนักธุรกิจเยือนไทยในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2561 เพื่อเข้าร่วมงาน THAIFEX 2018 ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารระดับโลกที่ไทยจะจัดขึ้น และเยี่ยมชมพื้นที่ EEC เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างภาคธุรกิจและขยายการลงทุนระหว่างกันไทยและฮังการีมีความสัมพันธ์กันยาวนานกว่า 100 ปี มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศยังมีโอกาส ที่จะขยายตัวได้อีกมากจากมูลค่าการค้า 587 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2559”
อย่างไรก็ดี ฮังการีมีแผนจะเพิ่มการลงทุนในไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและพลังงาน ขณะที่ไทยมีแผนที่จะขยายเส้นทางการบินตรงระหว่างไทยและฮังการี ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่มโอกาสของ การทำธุรกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ รัฐมนตรีฮังการีแจ้งว่าฮังการีให้ความสำคัญกับนโยบายการค้าเสรี และเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่สนับสนุนให้ไทยและอียูสานต่อการเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรี (FTA) ระหว่างกัน
นางอภิรดีเปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์มีแผนจะจัดการสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการไทยเกี่ยวกับตลาดฮังการีและประเทศในยุโรปกลาง คือโปแลนด์ สาธารณรัฐเช็ก และสโลวาเกีย ในช่วงเดือนเมษายน 2561 ก่อนนำคณะนักธุรกิจไทยเยือนฮังการีในเดือนมิถุนายน 2561 เพื่อจับคู่ธุรกิจและเจรจาลู่ทางการลงทุน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและการค้า ฮังการี พร้อมสนับสนุน และเห็นว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศ
ฮังการีตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคยุโรปจึงเป็นศูนย์กระจายสินค้าที่สำคัญของยุโรปกลางและตะวันออกมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัย เป็นผู้ผลิตอาหารและสินค้าเกษตรที่สำคัญของภูมิภาคยุโรปตะวันออก เป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่สำคัญ ในปี 2559 ฮังการีเป็นคู่ค้าอันดับที่ 50 ของไทยในโลก มีมูลค่าการค้า รวม 587.11 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้า ไทยส่งสินค้าส่งออกสำคัญไปฮังการี ปี 2559มูลค่า 416.15 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ วงจรพิมพ์ ก๊อก วาล์วและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ ไทยนำเข้าจากฮังการี ในปี 2559 มูลค่า 170.96 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
ส่วนการลงทุนของฮังการีในไทยมีไม่มากนัก โดยมีการลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในปี 2559 จำนวน 1 โครงการ ของบริษัทผลิตสายไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 8 แสนเหรียญสหรัฐ ในขณะที่การลงทุนไทยในฮังการี ปี 2559 มูลค่า 12.13 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #180 เมื่อ:
พฤศจิกายน 20, 2017, 09:57:39 PM »
บัลลังก์โมเดลปีที่ 2 นำเกษตรสมัยใหม่ พัฒนาเกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยั่งยืน
วันที่ 20 พฤศจิกายน 2560 - 14:18 น.
เทศบาลตำบลบัลลังก์ อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา จับมือซีพีเอฟ และหน่วยงานรัฐ จัดงาน Field Day นำเสนอนิทรรศการ โชว์ความสำเร็จ โครงการ “เกษตรกรพึ่งตน ข้าวโพดยั่งยืน (บัลลังก์โมเดล)” ปีที่ 2 พัฒนาศักยภาพเกษตรกรปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ผลผลิตคุณภาพสูง มีรายได้มั่นคง เดินหน้ายกระดับสู่ข้าวโพดแปลงใหญ่ เพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันเกษตรกร
ร้อยตรีฐนนท์ธรณ์ กวีกิจรัตนา นายกเทศบาลตำบลบัลลังก์ อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา กล่าวว่า การจัดนิทรรศการ “ข้าวโพดแปลงใหญ่ ด้วยเกษตรทันสมัย” ในวันนี้เพื่อนำเสนอผลการดำเนินงานของ โครงการ “เกษตรกรพึ่งตน ข้าวโพดยั่งยืน (บัลลังก์โมเดล)” ในปีที่ 2 มีเกษตรกรในพื้นที่เทศบาลบัลลังก์เข้าร่วมโครงการฯ เพิ่มขึ้นเป็น 451 ราย พื้นที่ปลูกข้าวโพดกว่า 13,500 ไร่ เป็นผลจากความสำเร็จของโครงการในปีแรก โดยในปีที่สอง มีการนำความรู้เกษตรสมัยใหม่ และหลักการเกษตรที่ดี (Good Agriculture Practices) มาประยุกต์ใช้ส่งผลให้เกษตรกรลดต้นทุนการผลิตอย่างเป็นรูปธรรม เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตต่อไร่ดีขึ้น ได้คุณภาพข้าวโพดตรงกับความต้องการตลาด บนพื้นฐานของการตรวจสอบย้อนกลับได้ เกษตรกรสามารถนำผลผลิตขายตรงสู่โรงงานอาหารสัตว์ในราคาประกัน ส่งผลให้เกษตรกรผู้ร่วมโครงการฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
“ความสำเร็จที่เกิดขึ้น เป็นผลจากการผนึกจุดแข็งของแต่ละภาคส่วน ภาคเอกชน ภาครัฐ และเกษตรกร ช่วยให้เกษตรกรในตำบลบัลลังก์มีความรู้การเพาะปลูกที่ทันสมัยขึ้น ช่วยให้มีผลผลิตต่อไร่โดยเฉลี่ยสูงขึ้นถึง 47% ขณะที่ต้นทุนการผลิตลดลงถึง 23% และมีกำไรจากปลูกสูงถึง 3,800 บาทต่อไร่” ว่าที่ร้อยตรีฐนนท์ธรณ์ กล่าว
นายวรพจน์ สุรัตวิศิษฎ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) ผู้จัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า “บัลลังก์โมเดล” ถือเป็นแห่งแรกของประเทศ ที่มีการผนึกพลังภาครัฐ เกษตรกร และเอกชน เพื่อสนับสนุนเกษตรกรเพาะปลูกข้าวโพดอย่างครบวงจร ตั้งแต่การเพาะปลูก การบริหารจัดการเก็บเกี่ยวและขนส่ง รวมถึงการมีตลาดรับซื้อในราคาประกัน บนพื้นฐานการตรวจสอบย้อนกลับได้ โดยปีที่ 2 นี้ นอกจากองค์ความรู้ในการเพาะปลูกแล้ว เกษตรกรยังได้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการเพาะปลูก เพื่อพัฒนาคุณภาพผลผลิตได้ดีขึ้น ตรงตามความต้องการตลาดมากขึ้น และสามารถนำมาขายตรงเข้าโรงงานอาหารสัตว์ได้ราคารับซื้อสูงถึง 7.90 บาทต่อกิโลกรัม
“นับจากนี้ โครงการฯ จะสนับสนุนให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันเพื่อมุ่งสู่เกษตรกรแปลงใหญ่ เพื่อช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต และยกระดับให้สอดคล้องตามมาตรฐานทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช (Good Agriculture Practices: GAP) เพื่อให้เกษตรกรมีความเข้มแข็ง มีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน” นายวรพจน์กล่าว
ในปีนี้ บริษัทฯ นำองค์ความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เหมาะสมเพื่อประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกร พร้อมจัดทำแปลงสาธิต ให้เกษตรกรที่สนใจเข้ามาเรียนรู้และนำไปปรับใช้กับแปลงปลูกข้าวโพดของตนเองได้อีกด้วย
แนวทาง “บัลลังก์โมเดล” ไม่เพียงสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับเกษตรกรในตำบลบัลลังก์เท่านั้น หากจะเป็นต้นแบบของการรวมพลังนำจุดแข็งของภาคีเครือข่าย รัฐ-เอกชน-เกษตรกร เพื่อพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรไทยในพื้นที่อื่นๆ ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมสร้างคุณภาพชีวิต ชุมชน และสิ่งแวดล้อมของไทยเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #181 เมื่อ:
พฤศจิกายน 20, 2017, 09:58:01 PM »
เปิดแผนปั๊มเศรษฐกิจปี”61 อุ้ม 11 ล้านคนจน-SME ดัน GDP5%
วันที่ 19 พฤศจิกายน 2560 - 22:50 น.
“สมคิด” เปิดแผนจัมป์ ศก.ปี”61 ดัน GDP ทะลุ 5% ระดม “คลัง-ธ.ก.ส.-พาณิชย์-ททท.” ออกมาตรการพิเศษอุ้ม SME-คนจน 11.4 ล้านคน อัดฉีดเงินตรงเข้ากระเป๋า จ้างผลิตสินค้าเกษตรป้อนร้านธงฟ้า ดันแบงก์ออมสินหนุนสินเชื่อผู้มีรายได้น้อยท..าธุรกิจแฟรนไชส์ จีบ Lazada-JD.com เปิดตลาดการค้าชุมชนปลดล็อกงบฯท้องถิ่น 2 แสนล้าน จ้างงาน-บูมแหล่งท่องเที่ยว เร่งสุดตัวประมูล 4 โครงการยักษ์ EEC
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงานสัมมนาแห่งปี THAILAND 2018 จุดเปลี่ยนและความท้าทาย จัดโดยหนังสือพิมพ์ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าปี 2018 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ยุครุ่งเรือง โดยต้องฉวยโอกาสจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน รับประโยชน์จากการเคลื่อนความมั่งคั่งสู่เอเชีย จะต้องสร้างพื้นฐานดัชนีเศรษฐกิจมหภาคทุกตัวให้แข็งแกร่ง และขับเคลื่อนการลงทุน-มาตรการทุกด้านอย่างรวดเร็ว
GDP ปีนี้แตะ 4 ปีหน้าทะลุ 5
นายสมคิดกล่าวว่า 3 ปีที่ผ่านมาอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) โตต่ำเพียง 0.8% แต่ปัจจุบันคาดว่า GDP ทั้งปีจะขยายตัว 3.8% โดยภาพที่จะเกิดขึ้นปีหน้า ผลจาก GDP ไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้ ขยายตัวเติบโตถึงจุดหนึ่งจะเป็นสปริงบอร์ดที่ดีที่สุดให้ไปถึงไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ในปี 2561 อย่างน้อยที่สุดหาก GDP ในปีนี้แตะ 4% และรักษาเสถียรภาพให้มั่นคง จะทำให้ในปีหน้า GDP ต้องไปถึง 4-5% เพราะฉะนั้นต้องช่วยกันประคับประคอง เชื่อว่าปีหน้าฟ้าจะสดใสกว่าปีนี้
จากผลการจัดอันดับทางเศรษฐกิจของหลายองค์กรระหว่างประเทศไทยดีขึ้นเป็นลำดับ อาทิ เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) ผลการจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขัน (IMD) และ Doing Business 2018 ของธนาคารโลก แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจมหภาคไม่แพ้ประเทศใด ขณะที่ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นทุกปัจจัย ทำให้เกิดความกล้าที่จะบริโภคและลงทุน
ดัชนีเศรษฐกิจมหภาคขาขึ้น
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ดัชนีเศรษฐกิจมหภาคทุกตัวกำลังดีขึ้น เช่น การส่งออกเริ่มทะยานสู่ขาขึ้น การลงทุนจากต่างประเทศ เชื่อมั่นว่าความพยายามของรัฐบาลที่ดำเนินนโยบายระหว่างประเทศตลอด 1 ปี จากการโรดโชว์เศรษฐกิจในประเทศญี่ปุ่น จีน จะส่งผลให้อีก 2 ประเทศมีการลงทุนเพิ่มขึ้น ได้แก่ ไต้หวันและฮ่องกง ซึ่งตัดสินใจตั้งสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง หรือ ETO ในไทยแทนเวียดนาม ดัชนีการท่องเที่ยว หากสามารถผลักดันขยายไปสู่ชุมชนและเมืองรองได้ พร้อมกับการขยายสนามบินเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว จะทำให้เม็ดเงินหมุนลงไปสู่ชนบท
ทั้งนี้ ได้หารือร่วมกับนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจว่า ในปี 2561 จะต้องทำให้เศรษฐกิจฐานราก ประชาชนในชนบทมีเงินหมุน มีงานทำ โดยเฉพาะเศรษฐกิจนอกภาคการเกษตร โดยจะปลดล็อกงบประมาณท้องถิ่นราว 2 แสนล้านบาท ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นำเงินไปทำโครงการพัฒนาท้องถิ่น ให้เกิดการจ้างงาน ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน วิสาหกิจชุมชนและดูแลผู้สูงอายุ
“ปีหน้าจะลงไปขันนอต นำเงินไปสู่รากหญ้าให้มาก เพื่อให้เศรษฐกิจข้างล่างขับเคลื่อนต่อไป ได้สั่งการให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำโครงการเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เสริม ผ่านฐานข้อมูลจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยการจ้างปลูกพืชผลให้เป็นไปตามความต้องการตลาด ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยง จ่ายค่าจ้างในการปลูกพืชในที่ดินของตัวเอง เช่น กล้วยหอม มะพร้าว และนำสินค้าไปจำหน่ายในร้านธงฟ้าประชารัฐและร้านค้าโมเดิร์นเทรด เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินลงสู่เศรษฐกิจฐานราก” นายสมคิดกล่าว
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #182 เมื่อ:
พฤศจิกายน 20, 2017, 09:58:23 PM »
กนอ.ดึง 5 บิ๊กตั้ง SMEs-ITC นำร่องนิคมแหลมฉบังช่วยจับคู่ธุรกิจ
วันที่ 19 พฤศจิกายน 2560 - 22:34 น.
กนอ.ดึง 5 บิ๊กธุรกิจ “อมตะ-WHA-ปิ่นทอง-ไทยซัมมิท-โพเอ็มโกบอล ลงขันตั้ง “SMEs-ITC” ใน EEC ผลักดัน ยกระดับ SMEs เป็นซัพพลายเชนเชื่อมรายใหญ่ จ่อเปิดอีก 8 นิคม
นายวีรพงษ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า วันที่ 21 พ.ย. 2560 นี้ กระทรวงอุตสาหกรรม กนอ. ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมลงพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)เพื่อเปิดศูนย์บริการ SMEs Industrial Transformation Center หรือ SMEs-ITC ซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทุนกับภาคเอกชน 5 ราย ประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร, บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง, บริษัท ไทยซัมมิท กรุ๊ป และบริษัท โพเอ็มโกบอล จำกัด ด้วยเงินลงทุน 8 ล้านบาท
เป้าหมายเพื่อใช้เป็นศูนย์การเรียนรู้ในรูปแบบของ coworking space ถ่ายทอดองค์ความรู้เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ สร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญ (expert network) และแหล่งรวมผู้เชี่ยวชาญ (expert pool) สำหรับเป็น big brother ส่งเสริมและพัฒนาสร้างโอกาสทางธุรกิจในกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs และ startup สามารถยกระดับและเติบโตก้าวสู่การแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างแข็งแกร่ง
โดยศูนย์ SMEs-ITC มีหน้าที่เป็นเอาต์เลต จะเริ่มเปิดให้บริการนำร่องไปก่อนที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จ.ชลบุรี เป็นที่แรก โครงการนี้ถือว่าเป็นโครงการที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมที่สุดสำหรับ SMEs ที่อยู่ใน EEC เป็นโอกาสให้รายใหญ่พบรายเล็กของจริง ในอนาคต SMEs ไทยสามารถเข้าไปเป็นซัพพลายเชนให้กับผู้ผลิตรายใหญ่ตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้
“เอกชน 5 รายที่ร่วมกันตั้งศูนย์นี้ขึ้นมา เพราะ กนอ.ต้องการให้เอกชนมาช่วย SMEs อย่างไทยซัมมิทฯ มีโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังอยู่แล้ว มีประเภทกิจการหลากหลาย เช่น ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องจักรกลการเกษตร เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่จะส่งคนมาช่วยให้คำปรึกษา กลุ่ม WHA และอมตะฯ มีนิคมเป็นของตัวเอง ลูกค้าจำนวนมาก นักลงทุนเหล่านั้นยังต้องการหาซัพพลายเชนที่เป็น SMEs”
ซึ่งศูนย์ SMEs-ITC เริ่มนำร่องพื้นที่แรกที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ด้วยการให้บริการ 1.พื้นที่อำนวยความสะดวกในการทำงาน (coworking space) 2.แหล่งรวมผู้เชี่ยวชาญทุกอุตสาหกรรม (experts pool) 3.ศูนย์รวบรวมความรู้ (knowledge center) 4.แหล่งรวมไฟล์/เว็บเพื่อการจับคู่ (portal for matching) 5.ศูนย์นวัตกรรม (innovation center) 6.บริการด้านทรัพยากรร่วมกัน (share resource service) 7.โปรแกรมด้านการเงิน (financial pro-gram) 8.ห้องประชุม (meeting room) 9.ห้องฝึกอบรม (training room) 10.ห้องเจรจาธุรกิจ (business lounge) 11.ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (e-Library)
สำหรับลักษณะการทำงาน เช่น นักลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมอมตะฯรายหนึ่งต้องการหาผู้ผลิตสินค้าเพื่อเป็นซัพพลายเชน โดยตั้งคุณสมบัติของงาน สินค้า และสเป็ก SMEs ที่ต้องการ จากนั้นศูนย์ SMEs-ITC จะหาบริษัทที่มีลักษณะตรงกับที่นักลงทุนต้องการ แล้วจัดเข้าโปรแกรมต่าง ๆ ที่มี เช่น อบรมว่าสินค้าดังกล่าวต้องเพิ่มกระบวนการอะไรเข้าไปให้มีศักยภาพขึ้น จากนั้นจะส่งต่อให้นักลงทุนเพื่อ SMEs จะได้หารือแนวทางร่วมธุรกิจกันต่อไป
ในทางกลับกัน กรณีที่ SMEs ในพื้นที่มีปัญหาด้านการผลิต หรือแม้แต่ต้องการพัฒนาสินค้าให้ตรงกับตลาด จะใช้ศูนย์ดังกล่าวรับเรื่อง และจัดหานักลงทุนจากพาร์ตเนอร์ทั้ง 5 ราย มาร่วมกันพัฒนาตามโจทย์ ทั้งนี้ในบางกรณีที่ไม่สามารถทำได้ จะส่งเข้าไปส่วนกลาง หรือศูนย์ ITC ใหญ่ ที่กทม.
นอกจากนี้ ในอนาคต กนอ.ได้เตรียมพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอื่น ๆ รวมทั้งในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) อีก 9 แห่ง เดินหน้าสานต่อนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาและสนับสนุน SMEs และ startup ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมแบบเดียวกัน โดยเริ่มทยอยนำร่อง ได้แก่ 1.นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จ.ลำพูน 2.นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง จ.ฉะเชิงเทรา 3.นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง 4.นิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ 5.นิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร 6.นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ (ฉลุง) จ.สงขลา และในส่วนพื้นที่ SEZ 7.นิคมอุตสาหกรรมสะเดา จ.สงขลา 8.นิคมอุตสาหกรรมแม่สอด จ.ตาก 9.นิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว จ.สระแก้ว”
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #183 เมื่อ:
พฤศจิกายน 20, 2017, 09:58:44 PM »
“พาราควอต” ได้ไปต่ออีก 6 ปี อุตฯโบ้ยเกษตรไม่มีผลวิเคราะห์อันตราย
วันที่ 19 พฤศจิกายน 2560 - 22:30 น.
คณะกรรมการวัตถุอันตรายผนึกกรมวิชาการเกษตร “ตีแสกหน้า” กระทรวงสาธารณสุข “ไฟเขียว” ต่อทะเบียน “ยาฆ่าหญ้า” พาราควอต”มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ให้บริษัทนำเข้ามาขายได้อีก 6 ปี ส่งผลยักษ์ใหญ่ “ซินเจนทา-เอเลฟองเต้-ดาว อโกรไซแอนส์” ลอยลำ ด้านกรมวิชาการเกษตรแจ้งยังไม่มีมติแบน หากไม่ต่อทะเบียนให้ รัฐอาจถูกฟ้องได้
สืบเนื่องจากวันที่ 5 เม.ย. 60 ที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง ครั้งที่ 4/2560ซึ่งมี 5 กระทรวงหลักเข้าร่วม มีมติให้ยกเลิกการใช้สารเคมี 2 ชนิด คือ”พาราควอต และคลอร์ไพริฟอส” ซึ่งถูกกำหนดเป็นวัตถุอันตราย และระหว่างนี้จะไม่อนุญาตให้มีการขึ้นทะเบียนเพิ่ม ไม่ต่ออายุทะเบียน (โดยปกติจะต่อ6 ปี/ครั้ง) และต้องยุติการนำเข้าภายในวันที่ 1 ธ.ค. 2560 และยุติการใช้สารเคมีทั้ง 2 ตัว ในวันที่ 1 ธ.ค. 2562 โดยระบุว่า พาราควอตจัดเป็นยาพิษที่มีความรุนแรง 47 ประเทศยกเลิกการใช้แล้ว และเตรียมกำหนดพื้นที่การใช้ “ไกลโฟเสต” ซึ่งองค์การอนามัยโลกระบุให้เป็นสารที่อาจก่อมะเร็ง และได้ส่งเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการต่อนั้น
นายพสุ โลหารชุน ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการวัตถุอันตราย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า พาราควอต อยู่ภายใต้อำนาจการดูแลของพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 โดยทางกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ควบคุมอยู่ การประชุมครั้งล่าสุดประมาณปลายเดือนตุลาคม 2560 ได้รับรายงานจากอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ในฐานะกรรมการและเลขานุการของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ว่า พาราควอตยังคงสามารถใช้ในภาคการเกษตรได้ต่อ เนื่องจากยังไม่มีผลการวิเคราะห์หรือตีความออกมาว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
“ทางกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งเป็นต้นเรื่องจะต้องเป็นผู้ฟันธงออกมาก่อนว่ามีผลต่อสุขภาพจริงหรือไม่ อันตรายแค่ไหน จากนั้นทาง กรอ. จึงจะชี้ชัดเพื่อออกคำสั่งต่อไปว่าจะแบน ห้ามขาย หรือยังสามารถนำเข้า หรือนำมาขายได้ หรือไปตรงในกฎหมายมาตราใดอย่างไร ขณะนี้คณะกรรมการยังคงประชุมกันบ่อยขึ้นเพื่อให้ได้ผลชี้ชัดกว่านี้ และร่วมกันแนะนำหาผู้เชี่ยวชาญมาช่วยดูว่าพาราควอตอันตรายต่อมนุษย์จึงเห็นควรต้องยกเลิกใช้ไปเลยหรือไม่” นายพสุกล่าว
นายอุทัย นพคุณ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้กรมวิชาการเกษตรได้ต่อทะเบียนใบอนุญาตให้สามารถใช้สารเคมีพาราควอตแล้ว 3 ราย ประกอบด้วย 1.ซินเจนทา 3 รายการ 2.เอเลฟองเต้ 1 รายการ และ 3.ดาว อโกรไซแอนส์ 1 รายการ และอีก 1 รายอยู่ระหว่างดำเนินการ ส่วนคลอร์ไพริฟอสอยู่ระหว่างดำเนินการ 1 ราย ทั้งนี้ เนื่องจากคณะอนุกรรมการวัตถุอันตรายรับมอบอำนาจพิจารณาขึ้นทะเบียน ส่วนการที่จะยกเลิกการต่อทะเบียนเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการวัตถุอันตราย ตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย มาตรา 18 ควบคุมอยู่ ในเมื่อยังไม่มีมติแบนสารพาราควอต หากไม่ต่อทะเบียนให้บริษัท หน่วยงานภาครัฐอาจถูกฟ้องร้องได้ ทั้งนี้ พาราควอตที่พิจารณาต่อทะเบียนไปแล้วจะมีกำหนดเวลาให้ 6 ปี
ปัจจุบันมีคำขอขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายที่รอการพิจารณาจากอนุกรรมการเพื่อพิจารณาการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายที่คงค้างการพิจารณา จำนวน 4,100 คำขอ เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นคำขอขึ้นทะเบียนสารเดิมอยู่ก่อนแล้ว และบางคำขอใช้ผลการทดลองประสิทธิภาพร่วมกัน โดยแบ่งเป็น 1.รับขึ้นทะเบียนแล้ว 987 คำขอ 2.ไม่ผ่าน 107 คำขอ 3.รอกฤษฎีกาตีความ (แผนร่วม) 1,585 คำขอ 4.ชะลอให้ไปทดลองในพืชอาหาร 619 คำขอ และ 5.รอกฤษฎีกาตีความ ทดลองในพืชอาหาร 802 คำขอ
สำหรับการต่ออายุ 3 สารเคมี ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการวัตถุอันตรายว่าจะแบนในปี 2562 หรือไม่นั้น ล่าสุดทางคณะกรรมการเห็นควรให้จำกัดเฉพาะการใช้ไกลโฟเซตยังไม่มีแนวทางยกเลิกทั้งหมด แต่ให้ผู้ประกอบการรายงานการนำเข้า การผลิต การส่งออก การจำหน่าย พื้นที่การใช้ และปริมาณคงเหลือ และต้องระบุพื้นที่ห้ามใช้ในฉลากวัตถุอันตราย ควบคุมการโฆษณา ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
ส่วนอีก 2 ชนิด คือ พาราควอตและควอร์ไพริฟอส ต้องส่งเรื่องหารือไปยังคณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งกรมวิชาการเกษตรได้รวบรวมข้อมูลด้านพิษวิทยาของสาร ด้านประสิทธิภาพในการใช้ ด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงด้านการห้ามใช้ในต่างประเทศ และด้านการห้ามใช้ตามข้อตกลงของอนุสัญญาประกอบกับข้อมูลจากการรับฟังความคิดเห็น รวมทั้งข้อมูลด้านสุขภาพอนามัย ที่ได้รวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขด้วย
“เนื่องจากกรมยังไม่มีความเชี่ยวชาญที่จะพิจารณานำข้อมูลด้านสุขภาพอนามัยมาวินิจฉัยได้อย่างชัดแจ้งว่าสารดังกล่าวมีอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ตามที่มีการกล่าวอ้างหรือไม่ จึงเห็นสมควรที่จะขอคำปรึกษาในเรื่องดังกล่าวจากคณะกรรมการวัตถุอันตราย ซึ่งมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ รวมไปถึงผู้แทนจากหน่วยงานด้านสาธารณสุข ตามอำนาจหน้าที่ในมาตรา 7 โดยกรมวิชาการเกษตรมีอำนาจหน้าที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวัตถุอันตรายตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตรายเท่านั้น”
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #184 เมื่อ:
พฤศจิกายน 20, 2017, 09:59:04 PM »
แหลมฉบังฟุ้ง ปี”60 กำไร 5,000 ล้าน ตั้งเป้ารุกธุรกิจขนถ่ายตู้สินค้า
วันที่ 19 พฤศจิกายน 2560 - 21:27 น.
ร.ต.ต.มนตรี ฤกษ์จำเนียร ผู้อำนวยการท่าเรือแหลมฉบัง เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2560 ระหว่างเดือน ต.ค. 2559-ก.ย. 2560 ท่าเรือแหลมฉบังมีกำไรกว่า 5,000 ล้านบาท โดยมีรายได้ 7,000 ล้านบาท ส่วนปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าเพิ่มขึ้น 8.7% เป็น 7.677 ล้าน ที.อี.ยู. สูงกว่าคาดการณ์ซึ่งอยู่ที่ 7.5 ล้านที.อี.ยู. เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ส่งให้ปริมาณตู้ส่งออกสินค้าสูงกว่าคาดการณ์ และการผลักดันธุรกิจขนถ่ายตู้สินค้าจากเรือใหญ่ (Transshipment) ซึ่งสร้างรายได้จากการเคลื่อนย้ายและยกตู้สินค้าในท่าเรือ โดยปัจจุบันท่าเรือแหลมฉบังมีการขนถ่ายตู้สินค้าประเภทนี้จำนวน 1 แสน ที.อี.ยู. สร้างรายได้ 5,000-10,000 บาทต่อตู้
ทั้งนี้ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) จะเดินหน้าแก้ไขอุปสรรคเพื่อดึงดูดให้ผู้ประกอบการมาเปลี่ยนขนถ่ายตู้สินค้าในท่าเรือแหลมฉบังมากขึ้น เช่น การอำนวยความสะดวกด้านเอกสาร ข้อกำหนดด้านความยาวเรือ การแก้ไขหรือผ่อนคลายกฎหมายของหน่วยงานต่าง ๆ โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เริ่มหารือกับกรมศุลกากร และจะมีการตั้งคณะทำงานในเรื่องนี้ เพราะเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน
“ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มการขนถ่ายเป็น 2-3 แสน ที.อี.ยู ภายใน 4-5 ปีข้างหน้า แต่ถ้าแก้กฎหมายได้เร็ว ก็อาจจะถึงเป้าหมายเร็วกว่านั้น เพราะทุกวันนี้มีความต้องการมาก แต่เขาเลือกไปถ่ายลำที่ประเทศอื่น” ร.ต.ต.มนตรีกล่าว
สำหรับในปีงบประมาณ 2561 คาดว่าปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าเรือแหลมฉบังจะเพิ่มขึ้นอีก 7-8% หรือ 5-6 แสน ที.อี.ยู แต่ถ้าการขนถ่ายเติบโตเป็น 1.5 แสนที.อี.ยู ก็จะส่งให้ปริมาณตู้สินค้าในภาพรวมเติบโตได้มากกว่า 6 แสน ที.อี.ยู.
นอกจากนี้ การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังหลายโครงการจะแล้วเสร็จในปีหน้า เช่น โครงการพัฒนาท่าเทียบท่าเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) วงเงิน 1.8 พันล้านบาท, โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบังเฟสที่ 1 (SRTO) วงเงิน 2 พันล้านบาท, การขยายถนนภายในและทางเข้าออก, โครงการขยายสถานีจ่ายไฟ 1.5 kV ด้านการลงทุนปี 2561 มีเพียงการขยายสถานีไฟฟ้า 22 kV วงเงิน 70-80 ล้านบาท เพราะการลงทุนส่วนใหญ่ดำเนินการไปหมดแล้ว
ร.ต.ต.มนตรี กล่าวต่อว่า บริษัท ฮัทชิสัน จะลงทุนเปิดหน้าท่าเรือแหลมฉบังเฟส 2 อีก 400 เมตรในปีหน้า ซึ่งทำให้ขีดความสามารถในการรับสินค้าของเฟส 2 เพิ่มจาก 3.4 ล้านที.อี.ยู. ต่อปี เป็น 4 ล้านที.อี.ยู โดยปัจจุบันเฟสที่ 2 มีปริมาณการขนส่งสินค้าอยู่ที่ 70% ของความสามารถในการรองรับ
ถ้าหากเอกชนลงทุนขยายท่าเรืออีกก็จะทำให้เฟส 2 รองรับสินค้าได้ถึงปี 2567 ซึ่งเฟสที่ 3 แล้วเสร็จ แต่หากธุรกิจขนถ่ายตู้สินค้าเติบโตอย่างรวดเร็วก็อาจต้องเร่งการพัฒนาแหลมฉบังเฟสที่ 3 ให้เร็วขึ้น ด้านท่าเรือแหลมฉบังเฟสที่ 1 มีความสามารถรองรับตู้สินค้าได้ 4.3 ล้านที.อี.ยู แต่ปัจจุบันมีผู้ใช้เกินความสามารถในการรองรับไปแล้ว
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #185 เมื่อ:
พฤศจิกายน 20, 2017, 09:59:26 PM »
กสร.แนะ “นายจ้าง” จัดสวัสดิการยืดหยุ่นลูกจ้างทุกวัย
วันที่ 19 พฤศจิกายน 2560 - 16:49 น.
เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า สถานการณ์และวิวัฒนาการด้านแรงงานในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความแตกต่างในช่วงวัยของลูกจ้างในสถานประกอบกิจการ การจัดสวัสดิการในรูปแบบเดิมจึงไม่ตอบสนองความต้องการของลูกจ้างทั้งหมด กสร.ในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการส่งเสริมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับรูปแบบการจัดสวัสดิการ จึงได้กำหนดแนวทางในการส่งเสริมการสวัสดิการแรงงานในสถานประกอบกิจการในรูปแบบสวัสดิการยืดหยุ่น ซึ่งลูกจ้างจะมีส่วนร่วมในการออกแบบและกำหนดรูปแบบของสวัสดิการ โดยคำนึงถึงความแตกต่างทั้งในเรื่องของวัย เพศ วิถีการดำเนินชีวิต และเปิดโอกาสให้ลูกจ้างสามารถเลือกและปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ เช่น จัดสวัสดิการด้านสุขภาพ โดยกำหนดงบประมาณและเปิดโอกาสให้ลูกจ้างเลือกเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าสมาชิกสถานที่ออกกำลังกาย ค่าตรวจสุขภาพ หรือ กำหนดเป็นชุดสวัสดิการให้ลูกจ้างเลือก เป็นต้น
“การจัดสวัสดิการแบบยืดหยุ่น เป็นรูปแบบของการจัดสวัสดิการที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเหมาะสมกับการบริหารแรงงานในยุคปัจจุบันที่มีลูกจ้างหลายวัยทำงานร่วมกัน มีความต้องการและวิถีการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน การจัดสวัสดิการแบบยืดหยุ่นจะทำให้ลูกจ้างมีความสุขในการทำงานมากขึ้น ลดความขัดแย้งด้านแรงงาน และผลิตภาพสูงขึ้น ขณะเดียวกัน การใช้จ่ายงบประมาณด้านสวัสดิการแรงงานของนายจ้างก็จะคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สถานประกอบกิจการ” นายอนันต์ชัย กล่าว
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #186 เมื่อ:
พฤศจิกายน 20, 2017, 09:59:46 PM »
ธพ.จี้รง.เอทานอล “ลดราคา” ดึงการใช้เพิ่มแก้ล้นระบบ
วันที่ 19 พฤศจิกายน 2560 - 14:30 น.
ธพ.ตอกกลับโรงงานเอทานอล เร่งขยายโรงงานแข่งกันเองจนล้นระบบ ยันตามแผน AEDP ระบุชัดเจนความต้องการใช้ในปี”60 แค่ 4 ล้านลิตร/วัน ย้อนถามโรงงานเอทานอลช่วย “ลดราคา” เอทานอลเพื่อถ่างส่วนต่างราคาถูกลงอีกหรือไม่ หวังกระตุ้นการใช้เพิ่ม ด้าน สนพ.อยู่ระหว่างคุ้ยต้นทุนราคาเหมาะสมหรือไม่
นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตามที่ผู้ผลิตเอทานอลได้ยื่นหนังสือถึงกระทรวงพลังงาน เพื่อให้มีมาตรการแก้ไขสถานการณ์การผลิตเอทานอลที่ล้นระบบอยู่เกือบ 2 ล้านลิตร/วัน เนื่องจากมีโรงงานใหม่รวมกับโรงงานเดิมผลิตเข้าระบบสูงถึง 5.8 ล้านลิตร/วัน ขณะที่ความต้องการใช้เอทานอลมีแค่ 4 ล้านลิตร/วัน กรมธุรกิจพลังงานขอชี้แจงว่า อุตสาหกรรมเอทานอลเป็น “ตลาดเสรี” การตัดสินใจว่าจะลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตเอทานอลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการเอง
ซึ่งเมื่อพิจารณาจากแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก หรือ AEDP (Alternative Energy Development Plan 2558-2579) ได้คาดการณ์ว่า ในปี 2560 จะมีความต้องการใช้อยู่ที่ไม่เกิน 4 ล้านลิตร/วันเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการสามารถส่งออกเอทานอลได้ ส่วนการอ้างว่าราคาไม่สามารถแข่งขันได้นั้น ก็ควร “ลดราคา” เพราะปัจจุบันราคาเอทานอลที่ผลิตในประเทศถือว่าค่อนข้างสูงที่ 24-25 บาท/ลิตร ทั้งที่ราคาวัตถุดิบทั้งกากน้ำตาลและมันสำปะหลังไม่ได้สูงมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้ดำเนินการส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานทดแทนไม่ว่าจะเป็นเอทานอล หรือไบโอดีเซล มาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงชดเชยราคาให้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ (E20) มากกว่า 3 บาท/ลิตร เพื่อให้มีราคาถูกกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ (E10) หวังจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาเติม แต่ความต้องการใช้ก็ไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วและยังต้องใช้เวลาอีกสักระยะ สำหรับการยกเลิกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 ไม่มีการพิจารณาแน่นอน เพราะต้องการให้ผู้บริโภคเป็นตัวตัดสินมากกว่าว่าต้องการใช้น้ำมันประเภทใด
“ไม่รู้ว่าจะแข่งกันตั้งโรงงานเอทานอลทำไม ในเมื่อดีมานด์มันจำกัด แต่แปลกซัพพลายล้น แต่ราคาเอทานอลไม่เคยลดลง ตอนราคาน้ำมันแพง ๆ โรงงานเอทานอลก็ฟันกำไรไปมากมายก็ไม่เห็นจะบ่นอะไรกัน การส่งเสริมเอทานอลของ ก.พลังงาน เราก็ทำมาตลอด แต่ครั้งนี้เราคิดว่ามันเป็นเรื่องของการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้ประกอบการเอง ก็ต้องแก้ไขกันเอง”
นายวิฑูรย์กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ขณะนี้กรมธุรกิจฯมีแนวคิดว่า เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้นตามที่ผู้ผลิตเอทานอลต้องการนั้น มีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่ผู้ผลิตเองจะ “ปรับลด” ราคาเอทานอลลงมา เพื่อเพิ่มส่วนต่างราคาแก๊สโซฮอล์ (E20) ให้มีราคาถูกลงไปอีก ซึ่งเชื่อมั่นว่าความต้องการใช้จะเพิ่มขึ้นได้แน่นอน และทำให้อุตสาหกรรมเอทานอลอยู่ได้อย่างยั่งยืนด้วย อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่า ราคาเอทานอลที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ หากใช้กากน้ำตาล (โมลาส) เป็นวัตถุดิบ มีราคาอยู่ที่ 24 บาท/ลิตร ส่วนที่ใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ มีราคาอยู่ที่ 25 บาท/ลิตรนั้น เป็นการกำหนดราคาที่เหมาะสมหรือไม่ โดยขณะนี้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) อยู่ระหว่างศึกษาเพื่อปรับโครงสร้างราคาเอทานอลและไบโอดีเซล ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า สำหรับแผนพัฒนาพลังงานทดแทนฯ วางเป้าหมายของการใช้พลังงานทดแทนในปี 2579 จะมีความต้องการใช้เอทานอลอยู่ที่ 11.30 ล้านลิตร/วัน ส่วนความต้องการใช้ไบโอดีเซลอยู่ที่ 14 ล้านลิตร/วัน รวมถึงยังระบุศักยภาพการผลิตเอทานอลในปี 2560 อยู่ที่ 4.35 ล้านลิตร/วัน ส่วนในปี 2562 อยู่ที่ 5.09 ล้านลิตร/วัน และในปี 2569 จะผลิตอยู่ที่ 7.38 ล้านลิตร/วัน
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #187 เมื่อ:
พฤศจิกายน 20, 2017, 10:00:02 PM »
ชาวไร่มันสำปะหลังมีเฮ! ปีนี้ราคาหัวมันสดสูง เกษตรกรเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิต-ปลูกรอบใหม่อีก
วันที่ 19 พฤศจิกายน 2560 - 14:07 น.
เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวประจำ จ.ปราจีนบุรี รายงานว่าจากการสำรวจนานาทรรศนะของเกษตรกรพบว่าเกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังมีเฮ ปีนี้ราคาหัวมันสดราคาสูง เกษตรกรต่างเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิต-เร่งปลูกรอบใหม่อีก หวั่นราคาตก แต่ละพื้นที่เร่งไถมันยกใหญ่ ปีนี้พอยิ้มได้ โดยลงพื้นที่ตรวจสอบลานมัน ป.รุ่งเรือง พบเกษตรกรชาวไร่มันนำหัวมันสำปะหลังสดมาขายและปลูกใหม่
นายเรืองฤทธิ คมคายอายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่97/1หมู่ 3 ต.เขาไม้แก้ว อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี กล่าวว่า ปีนี้ราคามันราคาค่อนข้างสูง ไม่เหมือน2-3 ปีที่ผ่านมา ราคาไม่ถึงบาท ปีนี้ราคามันสำปะหลังสูงขึ้นเล็กน้อย ก.ก.ละ 2 บาทกว่า ส่งผลให้เกษตรกรพอลืมตาอ้าปากได้ ตนปลูกมัน 200 กว่าไร่ ตอนนี้เร่งไถเก็บผลผลิตแล้ว 40 ไร่ เพื่อแข่งขันกับคนอื่น และจังหวัดอื่นๆ เช่นเดียวกันและจะต้องเร่งรีบปลูกมันสำปะ ต่ออีกรอบในฤดูกาลหน้าบ้างแล้ว
เกษตรกรชาวสวนปาล์ม ในพื้นที่พบว่าราคาตกต่ำสุดๆ พอๆ กับสวนยางพารา พบนายสถิตย์ นาจำปา อายุ 50 ปี เลขที่ 166 หมู่ 16 ต.วังท่าช้าง อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี กล่าวว่า ปีนี้ราคาปาล์มตกต่ำเหลือแค่กิโลกรัมละ 3.50 บาท และมีแนวโน้มว่าราคาจะล่วงลงอีกเกษตรกรหลายคนพากันหยุดเก็บขายแล้วบางคนขายเพื่อไม่ให้ผลผลิตเสียหายแม้จะได้บ้างนิดหน่อยก็ยังดีที่ผ่านมาขายปาล์มได้คนละไม่ถึงหมื่นบาทต่อครั้งสำหรับเกษตรกรที่มีสวนปาล์ม 10-20 ไร่ เกษตรกรส่วนใหญ่บอกไม่อยากเอ่ยถึงรัฐบาลว่ามีความต้องการอะไร เพราะไม่สามารถช่วยอะไรได้ คิดว่าราคาพืชผลทางการเกษตรที่ตกต่ำ มีปัจจัยหลายอย่างจะไปโทษรัฐบาลก็ไม่ได้ ทุกคนต่างก็มีอาชีพเป็นเกษตรกรชาวนาชาวไร่ชาวสวนกันทั้งนั้น ซึ่งเราก็รู้ๆ กันอยู่จะห้ามคนไม่ให้ปลูกอะไร ที่เหมือนๆ เราก็ไม่ได้เพราะใครๆ ก็อยากมีกินมีใช้กันทุกคน ทางออกที่ดีที่สุดต้องหันมาพึ่งตนเองให้มากที่สุด สำหรับเกษตรกรรายย่อยทำเกษตรแบบพอเพียงทำในครัวเรือนทำเองขายเองถึงจะพออยู่ได้
นายสถิตบอกว่า ครอบครัวตนเป็นครอบครัวเล็กๆ แบ่งการทำเกษตรเป็นส่วนๆ โดยใช้พื้นที่ปลูกปาล์ม 8ไร่ ,ข้าวไรซ์เบอรรี่ 6ไร่ , ข้าวเล็บมือนาง 5 ไร่ , ข้าวหอมมะลิที่ปลูกไว้กินเอง 4 ไร่ ทุกขั้นตอนในการผลิตไม่ใช้สารเคมี ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง พร้อมยังเลี้ยงวัว 20 ตัวไว้ใช้แรงงานทางการเกษตร ในพื้นที่มีแหล่งน้ำไว้ ไม่ให้ขาดแคลนยามหน้าแล้ง-ระบายน้ำหน้าฝน โดยขุดบ่อเลี้ยงปลาอีกนิดหน่อย และทำมาแล้ว15 ปี ก็พออยู่ได้ ใช้ในการนำมากินเป็นอาหารในครอบครัว เหลือก็ขายสร้างรายได้ นอกจากนี้ตนเองมีโรงสีขนาดเล็กไว้สีข้าวเองในครัวเรือนเป็นของตัวเองไม่ต้องง้อนายทุนที่จะมาตัดราคาค่าความชื้นข้าวให้เสียราคา ตนรู้สึกอยู่ดีกินดีมีความสุขในวิธีบ้านอกที่หาได้ยากมากในปัจจุบัน
“การทำเกษตรผสมสานที่ตนทำมานี้ทำได้และอยู่ได้โดยขายข้าวตามราคาท้องตลาด ข้าวไรซ์เบอรรี่ กก.ละ 50 บาท ข้าวเล็บมือนาง 7 บาท ในราคาข้าวเปลือก ทั้งนี้จะขายตามราคาท้องตลาดมีลูกค้าขาประจำอยู่ 10 รายพอเก็บไว้ขายได้ตลอดปี”
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #188 เมื่อ:
พฤศจิกายน 20, 2017, 10:00:21 PM »
พิลึกศึกตลาดกลางข้าวสาร ตลาดไท-เจ้าสัวเข้าวินทั้งคู่
วันที่ 19 พฤศจิกายน 2560 - 13:46 น.
ปิดจ็อบ “พาณิชย์” เคาะเลือก “ตลาดไท-เจ้าสัว” ชนะคู่ทำตลาดกลางข้าวสารฯผ่านหลักเกณฑ์ทีโออาร์ให้รายเดียว ทิ้งทวนโค้งสุดท้ายก่อนปรับ ครม.
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน มีหนังสือ พณ. 0401.4/ว1135 เวียนแจ้งไปยังเอกชนที่ชนะการคัดเลือกผู้ดำเนินการตลาดกลางข้าวสารสู่มาตรฐานสากล ทั้ง 2 รายคือ บริษัท ไทย แอ็กโกร เอ็กซ์เชนต์ จำกัด จ.ปทุมธานี (ตลาดไท) และบริษัท ตะวันนา ไนท์บาซาร์ จำกัด (ตลาดต่อยอด AEC หรือตลาดตะวันนา) จ.พระนครศรีอยุธยาจากผู้ที่เสนอตัวเข้าร่วมโครงการนี้ 3 ราย ส่วนอีก 1 รายที่ไม่ได้รับการพิจารณาคัดเลือก คือ บริษัท บูรณากาญจน์ จำกัด จ.สุพรรณบุรี โดยไม่ได้ระบุเหตุผลในการคัดเลือก ทั้งที่ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการคัดเลือกที่กรมการค้าภายในประกาศออกมาว่าจะเลือกเพียง “รายเดียว” เพื่อจัดทำตลาดกลางข้าวสารแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจที่ผลการคัดเลือกออกมาช่วงโค้งสุดท้ายของช่วงที่มีกระแสการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีประยุทธ์ 5
ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามไปยังกรมการค้าภาย กระทรวงพาณิชย์ในถึงหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือก แต่ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน ได้รับแจ้งเพียงว่าเป็นผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ซึ่งประกาศเชิญชวนผู้ประกอบการที่มีความรู้และมีความเชี่ยวชาญในการบริหารและจัดการอย่างมืออาชีพ เพื่อคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติ
“ประเด็นคือต้องชั่งน้ำหนักจะเลือกผู้ประกอบการที่มีซัพพลายเออร์ในมือจำนวนมาก หรือผู้ประกอบการที่มีคนซื้อในมือจึงจะให้ประโยชน์มากกว่ากัน ไม่ใช่เหตุผลว่าผู้ใหญ่เชียร์ใคร”
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ได้ระบุ 2 ราย ว่าต้องมาทำสัญญาในช่วงเวลาไหน แต่มีสัญญาณว่าผู้ชนะการคัดเลือกอาจไม่พอใจ อาจขออุทธรณ์ผลการพิจารณาอีกรอบ
แหล่งข่าววงการค้าข้าว ตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ปกติของการพิจารณาคัดเลือก และสาเหตุความล่าช้า นับตั้งแต่ประกาศหลักเกณฑ์ทีโออาร์เมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2560 และกำหนดให้แต่ละรายแสดงวิสัยทัศน์ต่อคณะทำงานเมื่อเดือนกรกฎาคม 2560 และแจ้งว่าจะประกาศผลการคัดเลือกในวันที่24 กรกฎาคม 2560 แต่ก็เลื่อนออกไป
จากนั้น นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมการค้าภายในแจ้งว่า มอบให้คณะกรรมการคัดเลือกซึ่งมีนางสาวสุทัศนีย์ ราชเรืองระบิน รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธาน นัดผู้ที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรก 2 รายมาเจรจาต่อรองในรอบ 2 แต่ก็มีการเลื่อนนัดหลายครั้ง กระทั่งวันที่ 4 กันยายน 2560 ได้เชิญตัวแทนทั้ง 2 ตลาดเข้ามาแสดงวิสัยทัศน์ในช่วงตุลาคม ซึ่งมีข่าววงในแจ้งว่าตลาดไทชนะ แต่อีกฝั่งไม่ยอมจึงเดินเกมผลักดันให้พิจารณาใหม่
“วงการข้าวมั่นใจว่ากลุ่มตลาดไทจะต้องชนะหากพิจารณาตามหลักเกณฑ์เรื่องความความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจด้านเกษตร และทางกลุ่มนี้มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มโรงสี จึงมีความได้เปรียบในทุกด้าน แต่อีกฝ่ายมีผู้ใหญ่สนับสนุนจึงเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่มีใครอยากตอบคำถาม หากถามว่าผู้ที่ชนะการคัดเลือกจะได้สิทธิประโยชน์มากมายเพียงใด ใน
ทีโออาร์ระบุเพียงว่า เอกชนที่ชนะต้องลงทุนเอง รัฐจะช่วยสนับสนุนเรื่องประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แล้วอะไรเป็นแรงจูงใจในการลงแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะธุรกิจใหญ่ต้องการเข้ามาครอบงำธุรกิจข้าวหรือ แต่ก็ไม่มีใครยอมให้คำตอบ”
อนึ่ง โครงการนี้เกิดขึ้นหลังจากนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ ร่วมคณะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนจีน เมื่อเดือนธันวาคม 2559 และได้เยี่ยมชมตลาดกลางข้าวสารในจีน จึงเห็นควรจัดตั้งตลาดกลางข้าวสาร เพราะไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #189 เมื่อ:
พฤศจิกายน 20, 2017, 10:00:42 PM »
เพชรบูรณ์โมเดล ต้นแบบจัดการ “ข้าวโพด” ทั้งระบบ
วันที่ 19 พฤศจิกายน 2560 - 11:59 น.
ในโอกาสที่นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นำคณะลงพื้นที่สหกรณ์การเกษตรหนองไผ่ (สาขาท่าแดง) จำกัด อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อติดตามความก้าวหน้าโครงการไตรภาคีเพชรบูรณ์โมเดล ซึ่งเป็นการนำร่องใช้เชื่อมโยงระบบรับซื้อ “ข้าวโพด” เพื่อลดปัญหาราคาข้าวโพดตกต่ำ
ก่อนหน้านี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติกรอบวงเงิน 1,500 ล้านบาทช่วยเหลือเกษตรกร โดยการชดเชยดอกเบี้ย 3% และคงใช้มาตรการกำหนดให้ผู้ประกอบการรับซื้อข้าวโพด 3 ส่วน เพื่อนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ฤดูการผลิต 2560/2561 ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณ 4.43 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 2.55% จากปีการผลิต 2559/2560 ที่มีปริมาณ 4.32 ล้านตัน ขณะที่ความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สำหรับผลิตอาหารสัตว์ที่คำนวณโดยสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ในปี 2560 ปริมาณ 8.10 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 3.58% จากปี 2559 ที่มีปริมาณ 7.82 ล้านตัน แนวโน้มราคา ณ ความชื้น 14.5% เฉลี่ย กก.ละ 7.30-7.35 บาท ขณะที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ราคาเฉลี่ย กก.ละ 7.95-8.00 บาท แต่ผลผลิตมักจะออกมากระจุกตัวจึงมีโอกาสทำให้ราคาตกต่ำ
กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ริเริ่มนำ “โมเดลไตรภาคี” มาใช้เมื่อต้นปี 2560 ควบคู่กับ “มาตรการช่วยเหลือของรัฐบาล” โดยมอบให้พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศรวบรวมข้อมูลตลอดห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ประกอบการที่รับซื้อสินค้าเกษตร และโรงงานอาหารสัตว์ทั้งหมด เพื่อทราบปริมาณความต้องการในการรับซื้อ จากนั้นจัดให้ทั้ง 3 กลุ่มเปิดโต๊ะลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (MOU) เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันว่าจะรวบรวม รับซื้อสินค้าเกษตรในราคาที่เป็นธรรม ทั้งเกษตรกร-ผู้ประกอบการ-โรงงาน ภายใต้โมเดลไตรภาคี โดยนำร่องที่จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นจังหวัดแรก ภายใต้ชื่อ “ไตรภาคี เพชรบูรณ์โมเดล”
เหตุที่เลือก “เพชรบูรณ์” นำร่อง เนื่องจากเป็นจังหวัดที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อันดับ 1 ของประเทศ มีพื้นที่ถึง 865,243 ไร่ หวังว่าการดำเนินการผลักดันโมเดลดังกล่าวจะช่วยรองรับผลผลิตข้าวโพดในฤดูการผลิตปี 2560/2561 ที่กำลังจะเก็บเกี่ยวในเดือนกันยายนเป็นต้นมา ประมาณ 613,477 ตัน จากนั้นได้ขยายครอบคลุมถึงจังหวัดใกล้เคียงที่ปลูกข้าวโพด รวม 7 จังหวัด คือ พิษณุโลก นครสวรรค์ พิจิตร ลพบุรี สระบุรี ฯลฯ
รูปแบบการดำเนินโมเดลนี้จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงผลผลิตระหว่างเกษตรกร-ผู้ประกอบการรับซื้อ-ผู้ประกอบการโรงงานผลิตอาหารสัตว์ โดยเริ่มจากการส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มในรูปแบบสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน หรือกลุ่มเกษตรกรเป็นกลุ่มรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้มีปริมาณมาก แล้วนำไปขายให้กับผู้ประกอบการรับซื้อ หรือลานรับซื้อต่าง ๆ ในระดับราคารับซื้อตามที่มีการตกลงกัน ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับคุณภาพและความชื้น
หลังจากที่ดำเนินโครงการมาจนถึงขณะนี้มีกลุ่มเกษตรกรใน 7 จังหวัดที่เข้าร่วมโครงการไตรภาคี 12 กลุ่ม มีผู้รวบรวมรับซื้อ (คนกลาง) ที่เข้าร่วมโมเดล 10 ราย เช่น บุญคุณการเกษตร, บุญคุณพืชผล, สกต.พิษณุโลก, ลาน ส.ทรัพย์สมหมายธัญญกิจ เป็นต้น และผู้ใช้ปลายทาง ซึ่งผู้ประกอบการโรงงานอาหารสัตว์เข้าร่วมโครงการ 7 กลุ่ม เช่น กลุ่มเบทาโกร รับซื้อในพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ ลพบุรี สระบุรี นครสวรรค์ และพิจิตร, บริษัทคาร์กิลล์สยามพิษณุโลก และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) สาขาพิษณุโลก รับซื้อผลผลิตจากพื้นที่ จ.พิษณุโลก นอกจากนี้ยังมีกลุ่มโรงงานอาหารสัตว์ จ.นครสวรรค์ และกลุ่มพ่อค้าจาก จ.เพชรบูรณ์ ร่วมรับซื้ออีกด้วย โดยรวมมีปริมาณการรับซื้อ 524,288 ตัน ประมาณ 18.64% ของผลผลิตทั้ง 14 จังหวัดที่มีการเพาะปลูก
นอกจากโครงการไตรภาคีแล้ว กรมการค้าภายในยังได้จัดกิจกรรม “เจรจาจับคู่ธุรกิจ” นำร่องใน จ.เพชรบูรณ์และ จ.ชัยภูมิ เพื่อให้ผู้ใช้ปลายทางสามารถรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรโดยตรงไม่ผ่านคนกลาง ซึ่งขณะนี้มียอดการตกลงจับคู่ซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในรูปแบบเมล็ดฝัก หรือรับซื้อเพื่อนำไปทำการขยายพันธุ์เมล็ดพันธุ์แล้วปริมาณ 7,000 ตัน ระหว่างสหกรณ์การเกษตร ใน จ.เพชรบูรณ์และ จ.ชัยภูมิ รวม 4 แห่ง ซึ่งซื้อในราคาเฉลี่ย กก.ละ 7.40 บาท และสัญญาระหว่างสหกรณ์บำเหน็จณรงค์ และสหกรณ์คอนสาร จ.ชัยภูมิ กับบริษัท มอนซานโต้ไทยแลนด์ จำกัด ซึ่งรับซื้อราคาเฉลี่ย กก.ละ 12 บาท เพื่อใช้ในการผลิตเมล็ดพันธุ์
ผลจากการลงพื้นที่สะท้อนว่า “ระบบไตรภาคี” ช่วยให้เกิดระบบหมุนเวียนรับซื้อ สามารถรองรับผลผลิตข้าวโพดที่ออกมา ช่วยให้เกษตรกรมีทางเลือกในการค้าสินค้าเกษตรมากขึ้น ทำให้มีการผลักดันการแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรในรูปแบบไตรภาคีในสินค้าอื่น เช่นโครงการ “มหาสารคามโมเดล” ที่เคยใช้กับสินค้ามันสำปะหลังไปก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ยังมีแผนจะส่งเสริมการเชื่อมโยงผลผลิตในสินค้าข้าว โดยเป้าหมายการเชื่อมโยงตลาดไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในประเทศเท่านั้น แต่กระทรวงพาณิชย์ยังได้หาลู่ทางที่เชื่อมโยงไปสู่ “ตลาดส่งออก” โดยมีการจัดคณะผู้แทนการค้าเดินทางไปเจรจาขายสินค้าเกษตรในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เปิดตลาดมันอัดเม็ดที่ตุรกี หรือการจับคู่ซื้อสินค้าข้าว ทั้งหมดนี้ เพื่อเป้าหมายที่จะยกระดับรายได้เกษตรกรให้เกิดความยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม จากการลงพื้นที่ยัังพบปัญหาเกษตรกรได้ราคารับซื้อต่ำไป ไม่เป็นตามมาตรฐานที่ตกลงกันไว้ เช่น ข้าวโพดได้ราคาต่ำกว่า กก.ละ 7 บาท จากข้อตกลงรับซื้อในราคา กก.ละ 8 บาท (ความชื้น 14.5%) เนื่องจากผู้ประกอบการรับซื้อจากเกษตรกรไปแล้ว และนำไปจำหน่ายให้กับโรงงานอาหารสัตว์ แต่กลับถูกลดคุณภาพ ขนาดของสินค้าลง ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจากเกษตรกรยังขาดอุปกรณ์อบลดความชื้น และสถานที่จัดเก็บข้าวโพด (ไซโล) จึงทำให้ไม่สามารถเก็บรักษาข้าวโพดคุณภาพสูงได้ และมักถูกกดราคารับซื้อ ซึ่งรัฐบาลจึงต้องปรับปรุงแก้ไขในจุดนี้
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #190 เมื่อ:
พฤศจิกายน 22, 2017, 10:45:39 PM »
“สมคิด”เตรียมดัน งบฯสร้างงานท้องถิ่นเข้าครม. เล็งเพิ่มจ้างงานในท้องถิ่นคนอายุเกิน 60 ปี
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2560 - 18:14 น.
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “อนาคตประเทศไทย…ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” ตอนหนึ่งว่า ปีหน้ารัฐบาลจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้เศรษฐกิจดีขึ้นมา โดยเริ่มจากการกระจายรายได้สู่ชุมชมให้มากขึ้น โดยฝากให้ผู้นำชุมชน ทั้งระดับ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ไปคิดโครงการที่ช่วยส่งเสริมรายได้ให้กับประชาชนในท้องถิ่นของตนเอง ซึ่งรัฐบาลพร้อมมอบเงินให้แต่ละชุมชนไปดำเนินการ ซึ่งเตรียมนำมาตรการนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)เร็วๆนี้
โดยได้ให้แนวคิดในเรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยวและภาคบริการในระดับชุมชม เพราะรายได้หลักส่วนหนึ่งมาจากภาคบริการถึง 60% และควรส่งเสริมให้เกิดจากท่องเที่ยวในจังหวัดรอง นอกเหนือจากจังหวัดใหญ่ๆ เพื่อกระจายรายได้ให้ทั่วถึงด้วย
ทั้งนี้ รัฐบาลจะส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่นมากขึ้น โดยมีแนวคิดจะจ้างงาน คนที่อายุเกิน 60 ปีให้มีงานทำแต่เป็นการจ้างงานที่แตกต่างกับคนหนุ่มสาว และปีหน้าจะเกิดร้านธงฟ้าประชารัฐเป็นหมื่นๆแห่ง เพื่อกระจายรายได้ให้มากขึ้นด้วย
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #191 เมื่อ:
พฤศจิกายน 22, 2017, 10:46:06 PM »
หอการค้ามะกัน ประกาศรางวัล CSR “ดาว เคมีคอล” คว้ารางวัลโปรเจ็กต์สนับสนุนนโยบาย “ไทยแลนด์4.0”
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2560 - 18:21 น.
หอการค้าอเมริกันในประเทศไทย (AMACHAN Thailand) จัดพิธีประกาศรางวัลองค์กรรับผิดชอบแต่สังคมดีเด่นของหอการค้าอเมริกันในประเทศไทยประจำปี “AMCHAM CSR Excellence Recognition Award 2017” วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน 2560 เวลา 17.00 น. ณ โรงแรม Shangri-La
กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 เพื่อสนับสนุนมาตรฐานการทำธุรกิจที่เป็นมิตรต่อชุมชนและความเป็นหุ้นส่วนสู่อนาคต เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ จะร่วมเป็นประธานในพิธีและมอบรางวัล พร้อมด้วยประธาน AMCHAM และรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยจะมีผู้บริหารและตัวแทนบริษัทชั้นนำจากหลากหลายอุตสาหกรรมเข้าร่วมกว่า 62 บริษัท
ผลประกาศรางวัล ปรากฏว่า “ไอบีเอ็ม” ชนะรางวัล “Excellence in CSR Projects Award” ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับบริษัทซึ่งริเริ่มโปรเจ็กต์ซีเอสอาร์ที่ดีที่สุด
บริษัท “เวสเทิร์น ดิจิทัล” ชนะรางวัล “Excellence in Partnership Award” ซึ่งมอบรางวัลโดยเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย “นายกลิน ที. เดวีส์” รางวัลนี้มอบให้แก่บริษัทซึ่งริเริ่มโปรเจ็กต์ซีเอสอาร์ซึ่งสนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างไทย-สหรัฐ โดยการนำความรู้ โนว์ฮาวของสหรัฐ มาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม เพื่อพัฒนาประเทศไทย
ขณะที่รางวัลพิเศษในปีนี้อย่าง “Excellence in CSR Projects Award” ซึ่งมอบให้กับบริษัทที่ริเริ่มโปรเจ็กต์ซีเอสอาร์ซึ่งสนับสนุนนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” ผลปรากฏว่า “ดาว เคมีคอล” ได้รับรางวัลนี้ไปครองจากโปรเจ็กต์ที่เน้นการสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน, โปรเจ็กต์พัฒนาเยาวชนและความสุขของชุมชนระยอง และโปรเจ็กต์พัฒนาน้ำดื่มสะอาดเพื่อนักเรียน โดยรางวัลพิเศษนี้ ดร.อรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นผู้มอบ
ทูตฯเดวีส์ กล่าวว่า ตนรู้สึกยินดีอย่างยิ่งสำหรับการจัดงานในครั้งนี้ โดยถือเป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นมอบรางวัลบนเวทีนี้ ตนดีใจที่ได้เห็นความตั้งใจของบริษัทอเมริกันที่อยากจะคืนสิ่งดีๆให้แก่สังคมไทย โดยแม้ว่าธุรกิจอเมริกันจะมีเป้าหมายในการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ แต่ขณะเดียวกัน ก็ได้ริเริ่มโครงการช่วยเหลือชุมชนไทย ให้สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากกว่าเดิมอีกด้วย
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #192 เมื่อ:
พฤศจิกายน 22, 2017, 10:46:29 PM »
“สมคิด”เผยภาพรวมศก.ไทยแข็งแรงขึ้น ส่งออกปีหน้าดีกว่าปีนี้ ห่วงปัญหาเหลื่อมล้ำ
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2560 - 18:10 น.
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ“อนาคตประเทศไทย…ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจมีความแข็งแรงขึ้น จากตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยไตรมาส 3/60 ที่อยู่ที่ 4.3% ถือว่าสามารถหยุดการถดถอยของเศรษฐกิจได้ และจากการประเมินจากภายนอก เศรษฐกิจไทยในระดับมหภาคถือว่าดีที่สุดเป็นอันดับ 9 ของโลก การจ้างงาน ระดับเงินเฟ้อ และหนี้สาธารณะ อยู่ในกรอบที่เหมาะสม และล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศตัวเลขการส่งออกเดือนต.ค.อยู่ที่ 13% ซึ่งมองว่าการส่งออกไม่น่าเป็นห่วงแล้ว เป็นผลจากเศรษฐกิจโลกดีขึ้น และการส่งออกไทยดีขึ้น และในช่วงเวลาที่เหลือของรัฐบาลจะเร่งเดินหน้าพัฒนาประเทศให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงจากภายนอก
“เมื่อกรอบแข็งแรงขึ้น จะมีส่วนช่วยดึงความมั่นใจจากภาคเอกชนและจากต่างประเทศ แม้การลงทุนจากเอกชนยังไม่เต็มที่ แต่ผมมั่นใจว่าจะดีกว่านี้ ดัชนีที่เป็นเครื่องจักรจะปั๊มทุกตัว การส่งออกดีแล้ว แต่จะต้องเร่งการการท่องเที่ยวให้ไปหล่อเลี้ยงในชุมชนให้มีงานทำ แล้วการลงทุนจะตามมา เร่งการใช้จ่ายทั้งภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ถ้าทำให้ดีตัวเลขจะขึ้นตามลำดับ”นายสมคิด กล่าว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังเป็นความท้าทาย คือการเร่งขจัดความเลื่อมล้ำในสังคมไทย เร่งการกระจายความเติบโตไปยังประชาชนระดับล่างให้เกิดความเข้มแข็งขึ้นมา โดยเฉพาะการช่วยเหลือภาคการเกษตรให้สามารถแปรรูปสินค้าเกษตร ส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมทางการเกษตร มีการปลูกพืชหลากหลายและให้มีนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้มีรายได้มากขึ้น
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #193 เมื่อ:
พฤศจิกายน 22, 2017, 10:46:51 PM »
บังกลาเทศสั่งซื้อข้าวนึ่งจากไทย 1.5 แสนตัน ดันยอดส่งออกข้าวปีนี้ทะลุ 10 ล้านตัน
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2560 - 17:54 น.
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ตามที่กรมการค้าต่างประเทศได้เจรจาซื้อขายข้าวแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) กับกระทรวงอาหารของบังกลาเทศนั้น เมื่อปลายเดือนต.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงอาหารบังกลาเทศมีหนังสือแจ้งว่ารัฐบาลบังกลาเทศได้อนุมัติการซื้อข้าวนึ่ง 5% จากไทย ปริมาณ 150,000 ตัน และล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พ.ย.60 กระทรวงอาหารบังกลาเทศมีหนังสือแจ้งเพิ่มเติมว่ากระทรวงกฎหมายได้ตรวจพิจารณาร่างสัญญาซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลบังกลาเทศแล้ว ขณะนี้ ทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างดำเนินกระบวนการภายในประเทศ
โดยกระทรวงพาณิชย์จะเสนอประธานกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) พิจารณาให้ความเห็นชอบ และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติการทำสัญญา หลังจากนั้นจะเชิญผู้แทนรัฐบาลบังกลาเทศเดินทางเยือนไทยเพื่อลงนามในสัญญาต่อไป ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มส่งมอบข้าวให้รัฐบาลบังกลาเทศได้ภายในเดือนธ.ค.นี้
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การที่มีคำสั่งซื้อข้าวนึ่งปริมาณมากจากบังกลาเทศในครั้งนี้ จะช่วยรองรับผลผลิตข้าวฤดูใหม่ของไทยที่กำลังทยอยออกสู่ตลาด นับว่าเป็นสัญญาณเชิงบวกที่จะกระตุ้นให้ราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรจะได้รับสูงขึ้นตามไปด้วย ส่งผลดีต่อราคาข้าวไทยทั้งระบบ และช่วยให้ยอดการส่งออกข้าวไทยปี 2560 ทะลุเป้าหมาย 10 ล้านตัน
ทั้งนี้ สถิติการส่งออกข้าวของไทยตามข้อมูลกรมศุลกากรรวม ทั้งข้อมูลใบอนุญาตส่งออกข้าวตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 21 พ.ย.60 มีปริมาณรวม 10.2 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 150,000 ล้านบาท
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #194 เมื่อ:
พฤศจิกายน 22, 2017, 10:47:13 PM »
พาณิชย์ชี้ราคาข้าวตกต่ำแค่ข่าวลือไม่เป็นความจริง ฟุ้งหอมมะลิอยู่ที่ตันละ 11,100-13,600 บาท
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2560 - 16:06 น.
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงกระแสข่าวราคาข้าวเปลือกหอมมะลิและข้าวเปลือกหอมจังหวัดราคาตกต่ำ ว่า ไม่เป็นความจริง โดยสั่งการให้พาณิชย์จังหวัดลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิอย่างใกล้ชิด ได้รับรายงานว่าขณะนี้ราคาซื้อขายข้าวเปลือกหอมมะลิที่ปลูกในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลาง ยังคงมีราคาสูงกว่าปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิที่เกษตรกรจำหน่ายได้ในขณะนี้อยู่ที่ประมาณตันละ 11,100-13,600 บาท สูงกว่าราคาในช่วงเดียวกันปีก่อนที่เกษตรกรจำหน่ายได้ตันละ 9,100-11,500 บาท
ในขณะที่ข้าวเปลือกหอมมะลิที่เกษตรกรปลูกนอกพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ 3 จังหวัด (เชียงใหม่ เชียงราย และพะเยา) หรือที่เรียกกันว่า ข้าวหอมจังหวัด จะมีราคารับซื้ออยู่ที่ประมาณ 10,500-13,500 บาท ตามคุณภาพและความต้องการของตลาด ดังนั้น ขอให้เกษตรกรเก็บเกี่ยวข้าวเปลือกในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้ข้าวเปลือกมีคุณภาพและจำหน่ายได้ราคาดี
นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ดำเนินโครงการให้สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2559/60 เพื่อให้เกษตรกรมีเงินทุนหมุนเวียนในช่วงเวลาที่เก็บข้าวเอาไว้ในยุ้งฉางเพื่อรอขายให้ได้ราคาดี โดยครอบคลุมข้าวเปลือกทุกประเภท เช่น ข้าวเปลือกหอมมะลิและข้าวเปลือกเหนียว ให้ในอัตราตันละ 10,800 บาท ข้าวเปลือกเจ้า ให้ในอัตราตันละ 7,200 บาท ฯลฯ ในทุกจังหวัด
นอกจากนี้แล้วเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ยังได้รับค่าเก็บรักษาข้าวเปลือกในยุ้งฉางอีกตันละ 1,500 บาท รวมทั้งกระทรวงพาณิชย์ยังได้กำกับดูแลผู้ซื้อให้มีการแสดงราคารับซื้อข้าวเปลือกและสั่งการให้เจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัดตรวจสอบเครื่องชั่ง เครื่องวัดความชื้น ให้เกษตรกรได้รับความเป็นธรรมอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ผลผลิตกำลังออกสู่ตลาดมากในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม หากเกษตรกรพบเห็นหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อขายข้าวเปลือก สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569
นอกจากนี้ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) เมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้ประเมินสถานการณ์การผลิตและการตลาดข้าวเปลือกหอมมะลิ ฤดูกาลผลิต 2560/61 ซึ่งกำลังออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2560 ประมาณ 90% ของผลผลิตข้าวทั้งหมด หรือคิดเป็นประมาณ 21.82 ล้านตัน โดยคาดว่าจะมีผลผลิตข้าวหอมมะลิ 7.16 ล้านตันข้าวเปลือก จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ประมาณ 8.07 ล้านตันข้าวเปลือก ลดลง 0.91 ล้านตันข้าวเปลือก เนื่องจากผลกระทบจากสภาพอากาศ ในขณะที่ความต้องการการบริโภคข้าวหอมมะลิในประเทศยังคงมีอยู่ในระดับสูง ประกอบกับปัจจัยในด้านของราคาส่งออกข้าวหอมมะลิในปัจจุบันที่อยู่ในระดับราคาที่ถือว่าสามารถแข่งขันได้ ส่งผลให้ตลาดปลายทางในต่างประเทศยังคงมีความต้องการข้าวหอมมะลิอย่างต่อเนื่อง
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #195 เมื่อ:
พฤศจิกายน 24, 2017, 10:08:18 PM »
“บิ๊กฉัตร” บี้ส่วนราชการใช้ยางพารา หนุนทำถนน เป้า 12 ตัน
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2560 - 19:26 น.
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้า การใช้ยางพาราในการดำเนินโครงการของส่วนราชการ ปี 2560 ที่สหกรณ์การเกษตรรัตภูมิ จำกัด ในนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ จ.สงขลา ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งการให้ทุกหน่วยงานสนับสนุนการใช้ยางภายในประเทศ เนื่องจากที่ผ่านมา หลายหน่วยงานมีความต้องการจะใช้ยางภายในประเทศ แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ ติดเรื่องของมาตรฐาน การจัดซื้อ จึงไม่สามารถดำเนินการได้ และแต่ละหน่วยงานไม่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้ จำเป็นจัดประชุมเพื่อทบทวนหารือร่วมกัน
ทั้งนี้ ได้มีการสรุปการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ ปีงบประมาณ 2560 ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2560 มีจำนวน 9 หน่วยงานยื่นความจำนงใช้ยางพารา ได้แก่ 1.กระทรวงเกษตรฯ 2.กระทรวงกลาโหม 3.กระทรวงคมนาคม 4. กระทรวงศึกษาธิการ 5.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 6.กระทรวงสาธารณสุข 7.กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา 8.กระทรวงมหาดไทย และ 9.กรุงเทพมหานคร มีการใช้ยางพารา รวมปริมาณน้ำยางข้น 22,321.54 ตัน และยางแห้ง 2,952.66 ตัน รวมเงินงบประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท
พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า สำหรับปี 2561 มี 5 หน่วยงานที่ยื่นความจำนงใช้ยางพารา ได้แก่ 1.กระทรวงเกษตรฯ 2.กระทรวงกลาโหม 3.กระทรวงคมนาคม 4.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ และ 5 กรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการเพิ่มเติมให้หน่วยงานอื่นๆ ดำเนินการเพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งตั้งงบประมาณโดยใช้งบปกติของแต่ละหน่วยงาน และแจ้งข้อมูลภายในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ นอกจากนี้ ในระยะยาวสั่งการให้นำเอาเรื่องถนนยางพาราดินซีเมนต์ไปศึกษาในทุกหน่วยงานที่จะเกี่ยวข้องกับการทำถนน เพราะถนนดินซีเมนต์นี้จะนำไปใช้ในเรื่องของการทำซับเบส คือ ส่วนของด้านล่างของตัวชั้น ไม่ใช่ชั้นผิวถนน ซึ่งทุกผิวถนนสามารถใช้ซับเบสนี้ได้ เพราะสามารถเพิ่มปริมาณได้ถึง 12 ตัน นอกจากนี้ กรมชลประทานได้ดำเนินการทดสอบแล้ว 6 เดือนผลการทดสอบใช้ได้ถึง 18 ตัน ต่อ 1 กิโลเมตร
นายธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับรายการพิจารณาชนิดของผลิตภัณฑ์ยางที่นำมาใช้ในการดำเนินโครงการของส่วนราชการ มี 23 รายการ อาทิ ถุงฝายยาง แผ่นยางรองคอสะพาน ยางกันชนท่าเรือ ท่อยางดูดน้ำและส่งน้ำ แผ่นยางซึม ยางขวางถนนจำกัดความเร็ว ยางปูพื้น ยางปูพื้นลู่วิ่งลานกรีฑา เป็นตัน ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีมอก.แล้ว 22 รายการ และมีมอก.พร้อมราคากลางสำนักงบประมาณ 1 รายการ รวมทั้งยังไม่มี มอก. 1 รายการ
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #196 เมื่อ:
พฤศจิกายน 24, 2017, 10:08:41 PM »
“ไทยแพน” แถลงผลการเฝ้าระวังสารพิษกำจัดศัตรูพืชประจำปี 60 พบมากกว่าครึ่งหนึ่งของผักผลไม้มีสารกำจัดวัชพืชตกค้างเกินค่ามาตรฐาน
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2560 - 15:48 น.
ไทยแพนแถลงผลการเฝ้าระวังสารพิษกำจัดศัตรูพืชประจำปี 2560 พบมากกว่าครึ่งหนึ่งของผักผลไม้มีสารกำจัดวัชพืชตกค้างเกินค่ามาตรฐาน โดยส่วนใหญ่เป็นพาราควอตซึ่งกระทรวงสาธารณสุขเสนอแบนและไม่ให้มีการต่อทะเบียน ในขณะที่ถั่วฝักยาว คะน้า ใบบัวบก กะเพรา พริกแดง องุ่น แก้วมังกร พบการตกค้างในระดับสูง
นางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานได้แถลงผลการเฝ้าระวังผักและผลไม้ซึ่งไทยแพนดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 พบว่า จากการเก็บตัวอย่างผักและผลไม้จากทั่วประเทศจำนวน 150 ตัวอย่างเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 ครอบคลุมผักยอดนิยม 5 ชนิด (ได้แก่ถั่วฝักยาว คะน้า พริกแดง กะเพรา และกะหล่ำปลี) ผักพื้นบ้านยอดฮิต 5 ชนิด (ได้แก่ ใบบัวบก ชะอม ตำลึง และสายบัว) และผลไม้ 6 ชนิด (องุ่น แก้วมังกร มะละกอ กล้วย มะพร้าว สับปะรด) ครอบคลุมตลาดจำนวน 9 ตลาดในจังหวัดเชียงใหม่ ขอนแก่น ปทุมธานี ราชบุรี และสงขลา รวมทั้งจากห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ 3 ห้าง และซุปเปอร์มาร์เก็ต 4 แห่ง พบว่าโดยภาพรวมมีสารพิษปนเปื้อนในผักและผลไม้เกินมาตรฐานถึง 46% แต่ก็ดีกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย
ทั้งนี้เป็นปีแรกที่ไทยแพนสุ่มตรวจผักพื้นบ้านยอดนิยมเพื่อเปรียบเทียบกับผักทั่วไปและผลไม้พบว่า ผักยอดนิยมทั่วไปมีสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐาน 64% ผักพื้นบ้านยอดนิยม 43% และผลไม้ 33% ตามลำดับ โดยในผักผลไม้ที่มีความเสี่ยงสูงได้แก่ ถั่วฝักยาว คะน้า ใบบัวบก กะเพรา พริกแดง องุ่น แก้วมังกร เพราะพบการตกค้างเกินมาตรฐานตั้งแต่ 7-9 ตัวอย่างจาก 10 ตัวอย่าง
“อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าเป็นกังวลมากที่สุดคือไทยแพนพบว่ามีสารเคมีกำจัดวัชพืชหรือยาฆ่าหญ้าตกค้างในผักและผลไม้ในระดับสูงถึง 55% จากจำนวนตัวอย่างที่ส่งตรวจทั้งหมด 76 ตัวอย่าง ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะเท่าที่ผ่านมาแทบไม่เคยมีการสุ่มตรวจหาสารพิษกลุ่มนี้อย่างจริงจังมาก่อนเลย โดยผลการตรวจพบพาราควอตตกค้างในระดับเกินมาตรฐานสูงถึง 38 ตัวอย่างจาก 76 ตัวอย่างที่ส่งตรวจ รองลงมาคือไกลโฟเซต ตรวจพบ 6 ตัวอย่าง และอะทราซีน 4 ตัวอย่าง”
นางสาวกิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา ผู้ประสานงานโครงการรณรงค์ “กินเปลี่ยนโลก” มูลนิธิชีววิถี ซึ่งเข้าร่วมการเฝ้าระวังครั้งนี้ร่วมกับเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกและเครือข่ายความมั่นคงทางอาหารใน 5 จังหวัด กล่าวว่า “ก่อนการแถลงครั้งนี้ ไทยแพนได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง พร้อมได้มอบข้อมูลทั้งหมดให้มีการดำเนินการตามขั้นตอนและกฎหมายของแต่ละหน่วยงาน หน่วยงานที่มาร่วมหารือ ได้แก่ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) กรมวิชาการเกษตร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักอาหาร คณะกรรมการอาหารและยา กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ทั้งนี้หน่วยงานต่าง ๆ และผู้ประกอบการก็จะได้นำข้อมูลระบุแหล่งที่มาแหล่งผลิตและแหล่งจำหน่ายที่เป็นปัญหาไปดำเนินการแก้ปัญหาต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพบว่ายังมีการตรวจพบสารที่แบนและไม่อนุญาตให้ขึ้นทะเบียนแล้ว เช่น เมทามิโดฟอส อีพีเอ็น คาร์โบฟูราน และเมโทมิล รวมทั้งมีการพบว่าผักผลไม้ราคาแพงซึ่งประทับตรารับรองต่างๆ ยังมีสารพิษตกค้างเกินมาตรฐานในระดับสูงกว่าที่จะยอมรับได้”
“ในส่วนของผักพื้นบ้านยอดฮิต ผลการตรวจชี้ว่า “ขณะนี้การเพาะปลูกผักพื้นบ้านยอดนิยมที่เป็นที่ต้องการของตลาดจำนวนมาก ก็มีการใช้สารเคมีเข้มข้นไม่น้อยเลย”
“ผลการตรวจครั้งนี้ยังเปิดเผยความจริง และชี้ให้เห็นว่าปัญหาของยาฆ่าหญ้าได้กลายเป็นปัญหาระดับชาติที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคทุกคนอย่างไม่อาจปฏิเสธได้อีกต่อไป”
“นอกเหนือจากผลักดันให้หน่วยงานรัฐและเอกชนแก้ปัญหาข้างต้นแล้ว เครือข่ายที่ติดตามปัญหาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชได้ประสานงานกับองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค และองค์กรสิ่งแวดล้อมหลายองค์กร ได้หารือจนได้ข้อยุติแล้วว่าจะร่วมกันฟ้องร้องกรมวิชาการเกษตรซึ่งอนุญาตให้มีการต่อทะเบียนพาราควอต และเป็นไปได้ว่าอาจมีการต่อทะเบียนคลอร์ไพริฟอสด้วย ทั้งๆที่กระทรวงสาธารณสุขและคณะทำงาน 4 กระทรวงหลักได้เสนอต่อกรมวิชาการเกษตรให้ยุติการต่อทะเบียนและดำเนินการแบนสารทั้งสองชนิดดังกล่าว” นางสาวกิ่งกรกล่าว
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #197 เมื่อ:
พฤศจิกายน 24, 2017, 10:08:59 PM »
กกพ.ไฟเขียวโรงไฟฟ้าฯ SPP Hybrid Firm 42 โครงการ สอบผ่านเทคนิค เข้าชิงดำรอบราคา
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2560 - 09:55 น.
กกพ.ไฟเขียวโรงไฟฟ้าฯ SPP Hybrid Firm 42 โครงการ สอบผ่านเทคนิค เข้าชิงดำรอบราคา คาดได้ตัวก่อนสิ้นปีนี้
นางสาวนฤภัทร อมรโฆษิต เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ในฐานะรองโฆษกสำนักงาน กกพ. เปิดเผยว่า มีผู้เสนอขายไฟฟ้า ภายใต้โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรูปแบบ SPP Hybrid Firm ปี 2560 จากทั่วประเทศ จำนวน 42 โครงการ ขนาดกำลังผลิตติดตั้งรวม 1,062.2 เมกะวัตต์ โดยมีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวมทั้งสิ้น 755.3 เมกะวัตต์ ผ่านการพิจารณาข้อเสนอทางเทคนิค เพื่อที่จะเข้าสู่ขั้นตอนของการพิจารณาข้อเสนอทางด้านราคา โดยกำหนดจะประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้ได้ภายในวันที่ 14 ธันวาคม 2560
ก่อนหน้านี้ สำนักงาน กกพ.ได้เปิดให้ผู้สนใจเข้ายื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าจากโครงการ SPP Hybrid Firm เมื่อวันที่ 16 – 20 ตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา ได้มีผู้มายื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าจำนวน 85 โครงการ ซึ่งจากการตรวจสอบคุณสมบัติและประเมินข้อเสนอขอขายไฟฟ้าด้านเทคนิค พบว่า มีโครงการที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกจำนวน 42 โครงการ ขนาดกำลังผลิตติดตั้งรวม 1,062.2 เมกะวัตต์ โดยมีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวมทั้งสิ้น 755.3 เมกะวัตต์ สำหรับโครงการที่ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกอีก 43 โครงการนั้น จากการตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่ได้ยื่นมา พบว่า เอกสารหลักฐานขาดความสมบูรณ์ ไม่ถูกต้องครบถ้วน และไม่เป็นไปตามที่หลักเกณฑ์กำหนด อาทิ ไม่มีความพร้อมด้านเชื้อเพลิง ที่ดิน และแหล่งเงินทุนในการประกอบกิจการ เป็นต้น
“โครงการนี้เป็นการรับซื้อแบบ Feed-in Tariffs หรือ FiT ในอัตราการรับซื้อไฟฟ้าเริ่มต้นที่ 3.66 บาทต่อหน่วย แบ่งเป็นอัตรา FiT คงที่ 1.81 บาทต่อหน่วย และอัตรา FiT ผันแปร 1.85 บาทต่อหน่วย (ตามอัตราเงินเฟ้อขั้นพื้นฐานที่เพิ่มขึ้นจากปี 2560) ซึ่งจะแข่งกันทุกประเภทเชื้อเพลิงโดยให้ผู้ยื่นข้อคำร้องเสนอส่วนลด (%) จากอัตรา FiT คงที่ ซึ่งหลังจากนี้ สำนักงาน กกพ. จะพิจารณาข้อเสนอขอขายไฟฟ้าด้านราคา โดยคณะอนุกรรมการพิจารณาประเมินข้อเสนอขายไฟฟ้าด้านราคา และจะประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับคัดเลือกภายในวันที่ 14 ธันวาคม 2560 ผ่านทางเว็บไซต์สำนักงาน กกพ.” นางสาวนฤภัทรกล่าว
นางสาวนฤภัทรกล่าวว่า โดยหลังจากประกาศผลการคัดเลือกแล้ว ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการต้องเร่งดำเนินการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) หรือรายงานการปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Code of Practice: CoP) ตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้ทันกำหนดวันลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ภายในวันที่ 13 ธันวาคม 2562 และสามารถดำเนินการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ได้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 ถึงภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2564
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #198 เมื่อ:
พฤศจิกายน 24, 2017, 10:09:23 PM »
แข่งประมูลโรงไฟฟ้าVSPP 200รายชิงเค้กรอบสุดท้าย
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2560 - 00:04 น.
เปิดประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมาก ๆ หรือ VSPP Semi-Firm รวมกำลังผลิต 268 MW รอบสุดท้าย ก่อนปิดยาว 2-3 ปี ส่งผลผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่-รายเล็กแข่งกันเดือด อาจยื่นเสนอขายไฟสูงกว่า 1,000 MW ไม่จำกัดโครงการทั้งใหม่-เก่าก็เข้าประมูลโรงไฟฟ้าได้
เป็นที่จับตาของผู้ผลิตไฟฟ้าทั้งรายเล็ก-ใหญ่สำหรับเตรียมเปิดประมูลโรงไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรูปแบบ Feed in Tariff จากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กมาก หรือ VSPP Semi-Firm รวม 268 เมกะวัตต์ (MW) ถือเป็น “ลอตสุดท้าย” ก่อนคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะปิดรับซื้อช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้
รับซื้อทั้งโรงใหม่-โรงเก่า
แหล่งข่าวจากวงการผู้ผลิตไฟฟ้ากล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เร็ว ๆ นี้ กกพ.จัดเวทีทำความเข้าใจกับภาคเอกชนถึงเงื่อนไขหลักเกณฑ์เบื้องต้นในการเปิดรับซื้อไฟฟ้าโครงการ VSPP Semi-Firm 268 เมกะวัตต์ (MW) โดยใช้รูปแบบ “การประมูล (competitive bidding)” หลักเกณฑ์เบื้องต้น 1) กกพ.จะเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากประเภทก๊าซชีวภาพก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจะเปิดรับจากประเภทชีวมวลเป็นลำดับถัดไป 2)
ผู้ชนะประมูลต้องผลิตไฟฟ้าเข้าระบบปี 2562 โดยให้เดินเครื่องเต็มกำลังผลิตช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของปี (peak) ระหว่างเดือน ก.พ-ก.ค. ส่วนช่วงที่เหลือ (off peak) ให้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าไม่เกินร้อยละ 65 หรือให้เป็นไปตามที่ กกพ.กำหนด 3) อัตราค่าไฟฟ้าจะเป็นรูปแบบ FiT แบ่งตามประเภทเชื้อเพลิง คือ เชื้อเพลิงชีวมวล รับซื้อที่ 4.24-4.82 บาท/หน่วย-ก๊าซชีวภาพ (น้ำเสีย/ของเสีย) 3.76 บาท/หน่วย-ก๊าซชีวภาพ (พืชพลังงาน) ที่ 5.34 บาท/หน่วย นอกจากนี้ยังมีส่วนเพิ่มพิเศษค่าไฟฟ้า หรือ FiT premium 30-50 สตางค์/หน่วยจะให้ช่วงที่เดินเครื่องเฉพาะ 6 เดือนที่ต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด
4) การรับซื้อไฟฟ้าจะครอบคลุมทั้งโรงไฟฟ้าใหม่และโรงไฟฟ้าเก่าที่ได้ก่อสร้างไปแล้วก่อนหน้านี้กว่า 20 โรง ส่วนใหญ่กระจายตัวในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ไม่ได้มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับภาครัฐ ซึ่งประเด็นนี้แตกต่างจากรายละเอียดที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) อนุมัติไว้ว่า จะรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้ารายใหม่เท่านั้น กกพ.จึงต้องเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ปรับแก้ไขในรายละเอียดตามที่ กพช.ให้อำนาจไว้ คาดว่า กกพ.จะเปิดให้ผู้ผลิตยื่นประมูลเสนอขายไฟฟ้าภายในเดือน ม.ค. 2561
“การเปิดประมูลโรงไฟฟ้า VSPP Semi-Firm รอบนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นรอบสุดท้ายแล้ว สำหรับการเปิดรับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทน หลังจากนี้ยังไม่รู้จะเปิดรับซื้อไฟฟ้าอีกเมื่อไหร่ ดังนั้นผู้ประกอบการทุกรายจึงต้องยื่นประมูลไว้ก่อน แต่ครั้งนี้จะยากกว่าการประมูลโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าแบบรายเล็ก SPP Hybrid Firm ซึ่งเปิดประมูลก่อนหน้านี้ เพราะ VSPP ไม่มีเงื่อนไขผู้ประกอบการที่เข้าร่วมประมูล จะเป็นรายใหญ่ (IPP) หรือรายเล็ก-รายกลางได้ทั้งหมด รวมถึงสามารถออกแบบโรงไฟฟ้าได้ว่ามีกำลังผลิตตั้งแต่ขนาด 3 หรือ 5 หรือ 10 MW ก็ได้ ที่น่าสนใจคือ รัฐกำหนดวิธีรับซื้อด้วยการประมูล ดังนั้นการแข่งขันจึงสูงมาก เพราะเป็นรอบสุดท้าย ใคร ๆ ก็ต้องคว้าไว้ก่อน ส่งผลให้ราคาประมูลขายไฟฟ้าให้รัฐอาจปรับลดลงที่ 3 บาท/หน่วย ซึ่งต่ำมาก”
แข่งกันดุเดือด
แหล่งข่าวกล่าวว่า เนื่องจากการเปิดประมูล VSPP รอบนี้ถือเป็นครั้งแรกของผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก ๆ ซึ่งจะต้องเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าแบบ firm เป็นครั้งแรก คือต้องเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าตามที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กำหนด จากเดิมที่เป็นรูปแบบ non-firm ที่ให้เลือกเดินผลิตไฟฟ้าเมื่อพร้อม ส่งผลให้มีผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กมาก ๆ กังวลกรณีที่มีปัญหาและต้องหยุดเดินเครื่องที่ให้จ่าย “ค่าปรับ” ด้วย
อย่างไรก็ตาม แนวทางป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาโรงไฟฟ้าหยุดเดินเครื่องผู้ผลิต VSPP ต้องหาพันธมิตรทางธุรกิจ หรือผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า VSPP รายอื่นมาเสริมอุด “ช่องโหว่” ทั้งเชิงเทคนิค เงินลงทุน หรือวัตถุดิบที่จะป้อนโรงไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า การเปิดประมูลโรงไฟฟ้า VSPP ควรจะ “เปิดโอกาส” ให้ผู้ประกอบการรายเล็กจริง ๆ เข้าประมูลก่อนหรือไม่ เนื่องจากรายเล็ก (VSPP) ไม่สามารถแข่งขันเชิงธุรกิจกับโรงไฟฟ้ารายใหญ่มาก (IPP) ที่สามารถเข้าประมูลครั้งนี้ได้ด้วย
ล่าสุดมีการคาดการณ์ในกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนว่า จะมีผู้เข้าร่วมประมูลรอบนี้ค่อนข้างมาก “อาจจะมากกว่า 200 ราย หรือคิดเป็นกำลังผลิตไฟฟ้าที่เสนอมามากกว่า 1,000 MW” เนื่องจากมองว่า หลังจากรอบนี้แล้ว กกพ.จะ “ชะลอ” เปิดรับซื้อไฟฟ้าในส่วนของกำลังผลิตที่เหลือไว้ก่อน อย่างน้อยอีก 2-3 ปี เพื่อพิจารณาความพร้อมในด้านสายส่งและประเด็นเกี่ยวข้องอื่น ๆ ทั้งนี้คาดว่าผู้ที่เข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้า SPP Hybrid Firm รอบที่แล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่จะเข้าร่วมประมูลรอบนี้อีก โดยเฉพาะหากไม่ชนะการประมูลในส่วน SPP Hybrid Firm ยกตัวอย่าง รายใหญ่ที่จะเข้าร่วมประมูลแน่ ได้แก่ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท เสริมสร้าง คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นต้น
UAC-พิจิตรไบโอพร้อมลุย
ด้านนายชัชพล ประสบโชค กรรมการผู้จัดการ บมจ.ยูเอซี โกลบอล หรือ UAC กล่าวว่า จะนำโครงการโรงไฟฟ้าที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในพื้นที่ จ.ขอนแก่น กำลังผลิต 3 MW เข้าร่วมประมูล VSPP Semi-Firm โครงการดังกล่าวก่อสร้างแล้วเสร็จมาหลายปีแล้ว จากเดิมที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เข้ามาส่งเสริมแต่ไม่มีการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการเข้าระบบ นอกจากนี้ยังมีโครงการอื่น ๆ เตรียมไว้ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ยอมรับว่ารอบนี้ “มีการแข่งขันสูงมาก”
ขณะที่นายบรรจง ตั้งจิตรวัฒนากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พิจิตรโรงสีร่วมเจริญ 2 ไรซ์ จำกัด กล่าวว่า เตรียมยื่นประมูลโดยจะให้บริษัท พิจิตร ไบโอ เพาเวอร์ จำกัด เข้าร่วมประมูลในประเภทเชื้อเพลิงชีวมวล ทั้งนี้ บริษัทมีความพร้อมด้านเชื้อเพลิง คือ เศษไม้-แกลบ และอื่น ๆ และเตรียมพื้นที่ปลูกพืชพลังงานป้อนให้โรงไฟฟ้าในอนาคตสำหรับสัญญาระยะยาวได้ถึง 20 ปี
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #199 เมื่อ:
พฤศจิกายน 24, 2017, 10:09:42 PM »
เอกชนค้านสูตรราคาเอทานอล รัฐเพิ่มตัวเลขตลาดฟิลิปปินส์-กดต้นทุน
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2560 - 00:02 น.
ลุ้นสูตรคำนวณราคา – สนพ.อยู่ระหว่างพิจารณาปรับสูตรคำนวณราคาเอทานอลใหม่ ล่าสุดหารือเอกชนกลุ่มเอทานอลและโรงกลั่นน้ำมันเพิ่มราคาขายตลาดฟิลิปปินส์มาไว้ในสูตรราคา แต่ถูกคัดค้าน แม้จะทำให้ต้นทุนลดลงจริง แต่เกษตรกรจะได้รับผลกระทบจากราคามัน-กากน้ำตาลที่ลดลงตามไปด้วย
สนพ.เรียกเอกชนหารือปรับสูตรคำนวณราคาเอทานอลใหม่ เพิ่มราคาเอทานอลตลาดฟิลิปปินส์รวมไว้ในสูตร หวังกดดันราคาเอทานอลให้ต่ำลง โรงงานผลิต-โรงกลั่นน้ำมันค้านสุดตัว เพราะจะส่งผลกระทบต่อราคาอ้อย-มัน ต้องปรับลดลงด้วยเช่นกัน ระวังวัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้านทะลักพราะถูกกว่าซื้อในประเทศ
แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมัน เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้หารือร่วมกับผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมเอทานอล เช่น ผู้ผลิตเอทานอล และโรงกลั่นน้ำมัน ในประเด็นการปรับสูตรการคำนวณราคาเอทานอลให้มีความเหมาะสมมากขึ้น โดยสูตรที่ใช้ในปัจจุบันคือให้ใช้ราคาเอทานอลอ้างอิงจากการราคา ระหว่างราคาเอทานอลที่ผู้ผลิตรายงานต่อกรมสรรพสามิตกับราคาเอทานอลที่ผู้ค้ามาตรา 7 รายงานต่อ สนพ. และตัดราคาสูงสุดและต่ำสุดออกไป ก็จะได้ราคาเอทานอลที่ประมาณ 24-25 บาท/ลิตร ซึ่ง สนพ.มองว่าสูตรคำนวณในปัจจุบันยังไม่ส่งผลให้ราคาเอทานอลถูกลง จึงมีแนวคิดให้นำราคาเอทานอลของตลาดฟิลิปปินส์มาคำนวณรวมด้วย โดยให้เหตุผลว่าจะเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับอุตสาหกรรมเอทานอล และทำให้ราคาเอทานอลถูกลง
ทั้งนี้ผู้ผลิตเอทานอลและโรงกลั่นน้ำมันได้ “คัดค้าน” สูตรคำนวณดังกล่าวเพราะ 1) สูตรดังกล่าวไม่ได้กดดันให้เฉพาะราคาเอทานอลถูกลงเท่านั้น แต่จะไปกดราคาส่วนอื่นด้วย โดยเฉพาะราคาพืชผลทางการเกษตรที่ต้องใช้เป็นวัตถุดิบคือ อ้อย กากน้ำตาล และราคามันสำปะหลัง ต้องลดลงไปด้วย 2) หากผู้ผลิตเอทานอลไม่สามารถหาวัตถุดิบที่มีราคาถูกได้ อาจมีการนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาพืชผลทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องทันที สุดท้ายเกษตรกรก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนที่ผลิตในประเทศ และ 3) ผู้ผลิตเอทานอลอาจจะต้องทยอยปิดโรงงานเพราะไม่สามารถแข่งขันได้ และที่สำคัญคือ ขณะนี้มีโรงงานเอทานอลใหม่ ๆ ทยอยผลิตเข้าระบบเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามจากความเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องส่งผลให้ สนพ.ยังไม่ได้พิจารณาเห็นชอบว่าจะใช้สูตรคำนวณดังกล่าวหรือไม่
“ตลาดเอทานอลในไทยและฟิลิปปินส์มีความแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะในแง่ของความต้องการใช้ที่มากกว่าไทยและมีกฎหมายที่ระบุชัดถึงเป้าหมายการใช้ว่าในปี 2006 ควรมีการใช้ทั้งประเทศที่ 5% และในบางพื้นที่ที่มีศักยภาพก็กำหนดว่าความต้องการใช้จะอัพเป็น 10% เป็นต้น ไทยใช้อยู่ประมาณ 600-700 ล้านลิตร/ปี ในขณะที่ฟิลิปปินส์ใช้มากกว่าไทยเท่าตัวหรือประมาณ 1,400 ล้านลิตร/ปี ซึ่งด้วยความที่ประเทศเป็นหมู่เกาะพื้นที่เพาะปลูกอ้อยค่อนข้างจำกัด จึงใช้วิธีนำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีราคาถูกกว่าสั่งซื้อจากไทย”
แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า เดิมทีนั้นฟิลิปปินส์นำเข้าเอทานอลจากไทยเป็นหลัก โดยก่อนหน้านี้ไทยส่งออกเอทานอลมายังฟิลิปปินส์เป็นจำนวนมากในช่วงปี 2555 รวม 160 ล้านลิตร แต่หลังจากที่กระทรวงพลังงานมีการประกาศยกเลิกจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 ในปี 2556 ทำให้ความต้องการใช้เอทานอลเพิ่มขึ้น การส่งออกจึงน้อยลงตามไปด้วย รวมถึงเมื่อสหรัฐมีนโยบายส่งเสริมเอทานอลและยังมีการปลูกข้าวโพดตัดต่อพันธุกรรม หรือ GMO ที่มีราคาเพียง 5 บาท/กิโลกรัม ทำให้ราคาเอทานอลถูกมาก เมื่อรวมต้นทุนการขนส่งจนมาถึงฟิลิปปินส์ราคายังถูกกว่าไทยมากที่ 16-17 บาท/ลิตรเท่านั้น ในขณะที่ราคาเอทานอลของไทยอยู่ที่ 24-25 บาท/ลิตร ทำให้แข่งขันในตลาดไม่ได้ และในปัจจุบันสถานการณ์ปริมาณการผลิตเอทานอลในขณะนี้ถือว่าล้นระบบประมาณ 2 ล้านลิตร/วัน เนื่องจากโรงงานผลิตเอทานอลใหม่ได้เริ่มผลิตเข้าสู่ระบบมากขึ้นรวมปริมาณ 6 ล้านลิตร/วัน ในขณะที่ความต้องการใช้ไม่เกิน 4.2 ล้านลิตร/วัน
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า สำหรับประเทศฟิลิปปินส์มีนโยบายการส่งเสริมอุตสาหกรรมเอทานอลทั้งระบบอย่างมีเป้าหมายและออกเป็นกฎหมายบังคับใช้อย่างชัดเจน ในขณะที่ไทยมีเฉพาะแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก 2558-2579 หรือ AEDP (Alternative Energy Development Plan) เท่านั้น ซึ่งภาครัฐให้เหตุผลที่ไม่มีการผลักดันให้มีกฎหมายกำกับดูแลเอทานอลโดยเฉพาะ เพราะการใช้แผนมีความยืดหยุ่นกว่า และยังสามารถปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันได้ดีกว่าอีกด้วย ทั้งนี้สำหรับราคาเอทานอลที่ประกาศโดย สนพ.ล่าสุดราคาอยู่ที่ประมาณ 24 บาท/ลิตร
บันทึกการเข้า
พิมพ์
หน้า:
1
...
6
7
[
8
]
9
ขึ้นบน
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
Music Massage by Pong: นวดประกอบเพลงโดยพงษ์
»
Members' Forum
»
มุมทั่วไป มุมความรู้ เคล็ดลับต่างๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ
(ผู้ดูแล:
admin
) »
อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
Calendar
กุมภาพันธ์ 2025
อา.
จ.
อ.
พ.
พฤ.
ศ.
ส.
1
2
[3]
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Birthdays -
Prasert (2006)
- Today's Events -
❌14.00(Booked)
❌20.00(Booked)
❌12.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌18.00(Booked)
- Today's Events -
❌14.00(Booked)
❌20.00(Booked)
❌12.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌18.00(Booked)
- Birthdays -
ball_y1248 (38)
- Today's Events -
❌14.00(Booked)
❌20.00(Booked)
❌12.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌18.00(Booked)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌12.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌18.00(Booked)
- Birthdays -
psyThink (48)
- Today's Events -
❌12.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌18.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌20.00(Booked)
- Holidays -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Birthdays -
Shinjuku (44)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
✅14.00(Free)
❌18.00(Booked)
✅12.00(Free)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Birthdays -
Miminpp (32)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
✅12.00(Free)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌12.00(Booked)
✅20.00(Free)
✅18.00(free)
❌14.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
✅14.00(Free)
✅12.00(Free)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Birthdays -
jack (40)
- Today's Events -
❌18.00(Booked)
❌12.00(Booked)
✅14.00(Free)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌20.00(Booked)
✅18.00(free)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Birthdays -
nattyboyza (40)
- Today's Events -
❌18.00(Booked)
❌20.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌12.00(Booked)
✅18.00(free)
❌18.00(Booked)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Birthdays -
FC@P (25)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌12.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌18.00(Booked)
❌20.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌18.00(Booked)
❌20.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
No calendar events were found.