Music Massage by Pong: นวดประกอบเพลงโดยพงษ์
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว:
หน้าแรก
ช่วยเหลือ
ค้นหา
ปฏิทิน
Recent Topics
สมาชิก
View the memberlist
ค้นหาผู้ใช้
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
Like stats
Music Massage by Pong: นวดประกอบเพลงโดยพงษ์
»
Members' Forum
»
มุมทั่วไป มุมความรู้ เคล็ดลับต่างๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ
(ผู้ดูแล:
admin
) »
อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
หน้า:
1
...
4
5
[
6
]
7
8
9
ลงล่าง
ผู้เขียน
หัวข้อ: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ (อ่าน 10357 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #125 เมื่อ:
สิงหาคม 21, 2017, 11:03:02 PM »
พรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล สร้างสมดุลทางรอด “ปศุสัตว์ไทย”เดือนสิงหาคมเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวข้าวโพดครอปใหญ่ของปี 2560/2561 แต่ปัญหาเรื้อรังเดิมยังไม่ได้รับการสะสาง ทั้งผลผลิตลอตใหญ่ 70% ออกมากระจุกตัว-ชาวไร่ยังใช้ที่ดินผิดกฎหมาย และวัตถุดิบยังไม่เพียงพอผลิตอาหารสัตว์
“ประชาชาติธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์พิเศษ “พรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล” นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยถึงแนวทางแก้ไขปัญหาอาหารสัตว์ในฤดูกาลนี้ว่า
Q : ปรับโมเดลลดรุกป่า-ปลูกหลังนา
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำยุทธศาสตร์ข้าวโพดปรับโมเดลปลูกข้าวโพดจาก 70-25-5 เป็น 20-30-50 หมายถึง ลดปลูกข้าวโพดต้นฝน 70% ให้เหลือ 20% และเพิ่มข้าวโพดรุ่น 2 คุณภาพดีจาก 25% เป็น 30% และเพิ่มข้าวโพดหลังนาจาก 5% เป็น 50% เพื่อแก้ปัญหาคุณภาพ และราคาข้าวโพดตกต่ำ
ตอนนี้รอเสนอคณะรัฐมนตรีของบประมาณโครงการปลูกข้าวโพดหลังนา 7 พันล้านบาทในช่วง 3 ปี เริ่มจากปี 2561/2562 เพื่อให้เงินสนับสนุนเกษตรกรไร่ละ 2,000 บาท และงบฯค่าจัดการต่าง ๆ บนพื้นที่เป้าหมาย 3.36 ล้านไร่ ใน 35 จังหวัด ส่วนภาคเอกชนจะไปตั้งจุดรับซื้อในราคา กก.ละ 8 บาท
Q : ลดการรุกป่ายังไม่คืบหน้า
พื้นที่ปลูกข้าวโพดต้นฝน 70% มีทั้งถูกกฎหมาย และผิดกฎหมาย แยกเป็นพื้นที่เขตป่า 3.72 ล้านไร่ พื้นที่ไม่เหมาะสม 0.89 ล้านไร่ รวมเป็น 4.61 ล้านไร่ คิดเป็น 50% ของพื้นที่ปลูกข้าวโพดทั้งหมดของประเทศ 7.84 ล้านไร่ ส่วนนี้ต้องลดไปเลย เพื่อคืนกลับเป็นพื้นที่ป่า ซึ่งภาครัฐ ฝ่ายทหาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย ได้บูรณาการขอความร่วมมือชาวบ้าน แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะมีความอ่อนไหวมาก
ที่ผ่านมาสมาคมฯ ร่วมมือกับชุมชนแปลงพื้นที่ปลูกข้าวโพดให้เป็นป่า และมีเอกชนอีกหลาย ๆ บริษัท เช่น ซี.พี., ปตท. ช่วย ๆ กัน รวม 600-700 ไร่ แปลงไปปลูกพืชอื่น เช่น กาแฟ ทดแทน โดยมีสถาบันการศึกษาในพื้นที่ ช่วยตรวจสอบควบคุม ขับเคลื่อนกันไป แต่คงต้องใช้เวลานานในการลดพื้นที่ตรงนี้ และปลูกทดแทนกัน
Q : ปีนี้จะหยุดซื้อข้าวโพดผิดกฎหมาย
ต้องค่อย ๆ ลดซื้อข้าวโพดที่ปลูกโดยไม่มีเอกสารสิทธิตามโมเดล ปีละ 20% คงใช้เวลาอีก 5 ปี ในวันนี้ยังไม่เห็นภาพการปลูกข้าวโพดหลังนาทดแทนพื้นที่ผิดกฎหมาย เพิ่งเปลี่ยนได้ไม่กี่ร้อยไร่ ดังนั้น ปีการผลิต 2560/2561 สมาคมมีมติว่า จะไม่สนับสนุนการรับซื้อข้าวโพดจากเกษตรกรที่ไม่มีเอกสารสิทธิ แต่ไม่ได้บังคับขึ้นกับนโยบายแต่ละบริษัท และจำเป็นต้องสื่อสารไปให้ผู้นำเข้าต่างประเทศคลายความกังวล ถึงแม้ว่าตอนนี้ไม่มีมาตรการ แต่อนาคตมาแน่
Q : ทำไมไม่ใช้ไม้แข็งหยุดซื้อไปเลย
การคุมเลยย่อมทำได้ แต่ควรมีทางเลือกให้เกษตรกร การใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดมีความอ่อนไหวหลายด้าน ที่ผ่านมาพ่อค้าอ้างว่าโรงงานอาหารสัตว์ไม่ซื้อข้าวโพดที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์ เพื่อไปกดราคารับซื้อเกษตรกร เหลือ กก.ละ 1.50-2.00 บาท มาขายให้โรงงาน 8.00 บาท มีตัวเลขลักลอบนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านมาขาย โดยอ้างว่าผลผลิตได้มากกว่า 4.5 ล้านตัน พอโรงงานไม่ซื้อ ก็ไปขายผู้ส่งออก ซึ่งไม่ถูกคุมราคา 8 บาท ยอดส่งออกเพิ่มถึง 700,000 ตัน ปีที่ผ่านมา หรือประกาศตูมหากไม่ซื้อจากเกษตรกรที่ไม่มีเอกสารสิทธิ เท่ากับซัพพลายหายไปครึ่งหนึ่งเหลือ 2.5 ล้านตัน ทำให้วัตถุดิบที่ขาดเพิ่มจาก 3 เป็น 5.5 ล้านตัน สมมุติเป็นเช่นนั้นต้องมีทางออก เช่น ให้สิทธินำเข้าวัตถุดิบเสรีมาทดแทน เปิดนำเข้าข้าวโพดชายแดน หรือยกเลิกมาตรการซื้อข้าวโพด 3 ส่วนต่อการให้สิทธิ์นำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน เพื่อให้วัตถุดิบครบ 8 ล้านตัน ไม่เช่นนั้นโรงงานต้องหยุด รัฐต้องผลักข้าวโพด 2.5 ล้านตันส่งออก ส่วนข้าวโพดถูกกฎหมายจะมีราคาเท่าไรต้องไปถัวเฉลี่ยกับราคาวัตถุดิบนำเข้า
Q : รัฐจะคุมต้นทางคนขายเมล็ดพันธุ์
การไปจำกัดตรงนั้น ความยากจะมีอีกแบบ กระทรวงเกษตรฯขอความร่วมมือจากสมาคมเมล็ดพันธุ์ อย่าขายเมล็ดพันธุ์ให้เกษตรกรที่ไม่มีเอกสารสิทธิ
แต่สมาชิกของสมาคมไม่ได้ครอบคลุมบริษัทเมล็ดพันธุ์ทั้งประเทศ จะมีเมล็ดพันธุ์เถื่อนออกมาแน่นอน และด้วยกลไกการขายที่ต้องผ่านให้พ่อค้าคนกลาง ซึ่งคงมีการนำเมล็ดพันธุ์ไปปล่อยขายให้กับเกษตรกรในพื้นที่ที่ไม่ถูกต้องที่ไปปล่อยเกี๊ยวกันไว้ก็ได้ หรือหากบริษัทใดประกาศไม่ขายเพียงบริษัทเดียว ก็กลายเป็นโอกาสทางการตลาดให้กับบริษัทอื่นที่ไม่ประกาศ เสี่ยงที่จะทำให้ราคาข้าวโพดตกต่ำลงไปอีก
Q : การแก้ปัญหาขาดวัตถุดิบปีนี้
ความต้องการใช้ข้าวโพด 8.1 ล้านตัน มีข้าวโพด 4.5 ล้านตัน จึงยังต้องใช้มาตรการ 3 ต่อ 1 นำเข้าข้าวสาลีอีก 1.5 ล้านตันแต่ก็ลดลงจากปีก่อน 3 ล้านตัน เพราะปีนี้ได้มีการประมูลซื้อข้าวสาร 2 ล้านตันจากสต๊อกรัฐทดแทนทำให้ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้นำเข้าข้าวสาลี 5-6 แสนตัน แต่ยังไม่กระทบราคาข้าวโพดที่ตกลงกันไว้ กก.ละ 8 บาท ณ โรงงานกรุงเทพฯ การซื้อขายจริง ๆ เป็นไปตามดีมานด์-ซัพพลาย ซึ่งในช่วงนี้ราคาขยับขึ้น กก.ละ 8.20-8.30 บาท ปีนี้ไม่มีอะไร แต่ต้องคิดถึงปีหน้าถ้าไม่มีสต๊อกข้าวรัฐจะแก้เรื่องวัตถุดิบอย่างไร ต้องวางระบบตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายทาง ระบบตรวจสอบย้อนกลับ ตอนนี้กำหนดมาตรการควบคุมให้มาขึ้นทะเบียนแล้ว
Q : ปกป้องผู้ปลูกกระทบส่งออกปศุสัตว์
เรามีคู่แข่งทั้งสหรัฐ บราซิล แล้วยังมีเวียดนาม วันนี้มีพัฒนาด้านปศุสัตว์เท่ากับไทยแล้ว น่ากลัวมาก ๆ มีการนำเข้าข้าวโพดจากต่างประเทศปีละ 5 ล้านตัน ตอนนี้เร่งปลูกและใช้พืชจีเอ็มโอด้วย โรงฆ่าไก่ได้รับใบอนุญาตจากญี่ปุ่น ขณะที่ค่าจ้างแรงงานถูกเพียง 1 ใน 3 ของไทย แต่เวียดนามขยันกว่า ส่วนไทยแรงงานไม่มี ต้องใช้ต่างด้าวนี่คือสิ่งที่คุกคามธุรกิจ
Q : ทางออกที่ทุกฝ่ายรอด
การสร้างสมดุลคืออะไร ตอนนี้พยายามช่วยเกษตรกร โดยรับซื้อข้าวโพดตามเงื่อนไขของรัฐ ถามว่าเราแบกคนเดียวได้หรือ และต้องนำเข้าข้าวสาลีด้วย อีกด้านชายแดนมีตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการ 1 ล้านตัน เป็นแรงกดดันราคา รัฐให้เราซื้อ 8 บาทก็ซื้อหมด แต่เราไม่ได้มีเงินถุงเงินถัง ตอนนี้เหมือนมีคนกลุ่มหนึ่งพยายามเอากำไรมากแล้วผลักภาระให้กับกลุ่มอาหารสัตว์ ขณะที่ต้นทุนเราโป่ง ตัวทดแทนไม่มี แต่อีกกลุ่มหนึ่งฟันกำไรส่วนต่าง อ้างยอดจาก 4.5 เป็น 5.5 ล้านตัน ถ้ายืนหยัดเดินไปใน 5 ปี ข้าวโพดพวกนี้จะหายไปเอง เพราะไม่มีเอกสารสิทธิ ปีหน้าคงมีมาตรการชัด ปีนี้คงไม่ทันแล้ว
Q : วางอนาคต 5 ปีข้างหน้า
สมาคมกำลังศึกษายุทธศาสตร์ 20 ปี เพื่อตอบ 3 โจทย์ ทั้งความปลอดภัย (safety) ความมั่นคง (security) และความยั่งยืน (sustainablity) ประสานกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) จัดทำมาตรฐานเพื่อความยั่งยืน เป็นดัชนีชี้วัดการใช้ทรัพยากร ว่าเราทำลายสิ่งแวดล้อมเท่าไร ถือเป็นมาตรฐานที่มาก กว่า GAP และมีความโปร่งใส
ไทยต้องรีบพัฒนาตัวเองหนีคู่แข่ง อยากให้เห็นภาพรวมว่าธุรกิจต้องกระโดดไปถึงเรื่องที่โลกสนใจ พืชทุกชนิดต้องทำ เพื่อยกระดับสร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่การผลิตในประเด็นใหม่ที่คุกคามเรานี่ยิ่งกว่า 4.0
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #126 เมื่อ:
สิงหาคม 21, 2017, 11:03:27 PM »
รื้อ AD เหล็กลวดคาร์บอนต่ำ กระทบ”ต้นทุนก่อสร้าง”พุ่ง
พาณิชย์ทบทวนเอดีเหล็กลวดคาร์บอนต่ำสำหรับงานก่อสร้าง จากที่เคยยกเว้นให้ 0% หลังพบยอดนำเข้าพุ่ง ส.เหล็กลวดเตรียมอุทธรณ์ หวั่นกระทบต้นทุนก่อสร้างพุ่ง ด้าน”ทาทา สตีล” ปัดไม่ได้ขึ้นราคาขายเหล็กในประเทศ แนวโน้มดีมานด์ก่อสร้างพุ่ง
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2560 นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงนามประกาศคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน (ทตอ.) ผลการทบทวนการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) ในอัตราร้อยละ 0 ของราคา CIF สําหรับสินค้าเหล็กลวดคาร์บอนต่ำ เหล็กลวดคาร์บอนต่ำที่เจือธาตุอื่น เหล็กลวดคาร์บอนสําหรับงานย้ำหัว และงานทุบขึ้นรูปเย็น และเหล็กลวดคาร์บอนสําหรับงานย้ำหัว และงานทุบขึ้นรูปเย็นที่เจือธาตุอื่น ในพิกัด 7227.9000.090 ที่นำเข้าจากจีน โดยให้มีผลใช้บังคับ 13 ส.ค. เป็นต้นไป
ก่อนหน้านี้ ทตอ.มีมติให้เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) สินค้าดังกล่าว อัตรา 12.81-31.15% ของราคา CIF โดย “ยกเว้น” อากร AD เป็น 0% ให้สินค้า 4 กลุ่มในข้อ 4 (1) (ก), 4 (1) (ข), 4 (1) (ค) และ 4 (1) (ง) แต่หลังจากใช้ AD มาเกือบ 1 ปี กรมพบว่ามีผู้อาศัยช่องว่างการเว้น AD นำเข้าสินค้าในกลุ่ม 4 (1) (ก) และ (4)(1) (ข) ในช่วงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2558-มิถุนายน 2559 เพิ่มขึ้น 100% จนผู้ผลิตในประเทศแข่งขันไม่ได้ จึงได้เปิดทบทวนเอดีเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2559 กระทั่งวันที่ 24 กรกฎาคม 2560 “ทตอ.วินิจฉัยเห็นควรให้เปลี่ยนแปลงเอดี” โดยให้ยกเลิกข้อ 4 (1) เดิม อย่างไรก็ตาม หากผู้ใดไม่พอใจคําวินิจฉัย ทตอ. ให้อุทธรณ์ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศได้ภายใน 30 วันนับแต่วันได้รับแจ้งฯ
นายเบญจพงษ์ โล่ห์ชิตกุล นายกสมาคมเหล็กลวด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สมาคมได้ประสานขอข้อมูลข้อเท็จจริงจากกรม เพื่อนำมาวิเคราะห์เตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาโดยเร็วที่สุด เนื่องจากผลการพิจารณาไม่เพียงยกเลิกข้อ 4(1)(ก) แต่มีการเปลี่ยนองค์ประกอบสารเคมีที่ใช้เป็นส่วนผสมของเหล็กชนิดดังกล่าวด้วย ซึ่งอาจจะกระทบต่อผู้นำเข้า และผู้ใช้ประเทศทุกกลุ่ม เพราะสินค้าดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการผลิตในอุตสาหกรรมรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และก่อสร้าง
“ขณะนี้ราคาเหล็กนำเข้าจากจีนปรับสูงขึ้นตามราคาตลาดโลกไปอยู่ที่ตันละ 595-605 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือ กก.ละ 20 บาท และยังต้องบวกเอดีเข้าไปอีก 12-31% กว่า เมื่อรวมกันแล้วตอนนี้จะยิ่งมีราคาสูง ส่วนเหล็กที่ผลิตในประเทศยังไม่ได้เป็นไปตามความต้องการของผู้ใช้ และทางผู้ผลิตในประเทศยังได้มีการปรับขึ้นราคาจาก กก.ละ 16 บาท เป็น 19 บาทแล้ว ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคปลายทางเดือดร้อนต้นทุนก่อสร้างเพิ่มขึ้น”
นายชัยเฉลิม บุญญานุวัตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ด้านการตลาดและการขาย บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการทบทวนเอดีช่วยให้ผู้ผลิตในประเทศสามารถแข่งขันได้ดีขึ้นบนพื้นฐานที่ยุติธรรม เพราะเดิมราคาต่างกัน กก.ละ 1-2 บาท จากการที่รัฐบาลจีนสนับสนุนลดภาษีให้สินค้าจากจีน 9-10% บวกกับข้อยกเว้นไม่เสียเอดีเป็น 0%
แต่หลังจากยกเลิกการยกเว้นเอดี เท่ากับราคาเหล็กจีนต้องบวกเอดีปกติเข้าไปอีก 12.6-32% ความได้เปรียบลดลง ราคาห่างกันเหลือ กก.ละ 1 บาท แข่งขันอย่างเป็นธรรม
อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตไม่ได้ปรับขึ้นราคาจำหน่าย และสามารถผลิตสินค้าได้ตามความต้องการใช้ที่เดือนละ 50,000 ตัน มีกำลังการผลิต 100,000 ตัน แต่มีการใช้กำลังการผลิตเพียง 30-50% เท่านั้น สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก
“เอดีเป็นสัญญาณบวกกับทาทาฯ แต่ก็มีปัจจัยอื่น ๆ โดยเฉพาะดีมานด์-ซัพพลาย ซึ่งครึ่งปีหลังแนวโน้มการก่อสร้างจะดีขึ้นจากครึ่งปีแรก รัฐก่อสร้างโครงการใหญ่ แต่ก็ยังมีการแข่งขันของผู้ผลิตในประเทศหลายราย”
บันทึกการเข้า
thaimale2011
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,018
Total likes: 71
คะแนนพิเศษ: +0/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #127 เมื่อ:
กันยายน 02, 2017, 10:53:23 PM »
ขอบคุณมากๆนะครับ
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #128 เมื่อ:
กันยายน 06, 2017, 11:03:26 PM »
ปตท.-บางจากฯ ปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ 30 สตางค์/ลิตร เว้น E85 คงเดิม ดีเซลปรับขึ้น 50 สตางค์/ลิตร มีผลพรุ่งนี้ (7 ก.ย. 60) เวลา 05.00 น.
ราคาใหม่เป็นดังนี้
เบนซิน 95 ลิตรละ 34.56 บาท
แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 27.45 บาท
แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 27.18 บาท
E20 ลิตรละ 24.94 บาท
E85 ลิตรละ 20.24 บาท
ดีเซล ลิตรละ 25.49 บาท
(ราคานี้ยังไม่รวมภาษีท้องที่ของแต่ละจังหวัด)
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #129 เมื่อ:
กันยายน 06, 2017, 11:04:05 PM »
“บิ๊กฉัตร”ทุ่มงบปี’61 กว่า 1.3 แสนล้านบ. พัฒนาภาคเกษตรฯ ลุยแปลงใหญ่-ยกระดับสินค้า-เพิ่มแหล่งน้ำ เผยยังไม่ล้มแผนผันน้ำ”สตึงมนัม”แค่ขอเวลาศึกษาร่วมกันเพื่อความเหมาะสม
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงการประชุมหารือแผนขับเคลื่อน Smart Agricultural Curve ปี 2561 โดยเรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงทุกหน่วยงาน ประธาน Single Command (SC) ทั้ง 77 จังหวัด ว่า นับตั้งแต่ปี 2559 ในการปฏิรูปภาคเกษตร ได้กำหนดเป้าหมายให้เป็นปีแห่งการลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสในการแข่งขันสินค้าเกษตร และเดินหน้าอย่างเข้มข้นในปี 2560 ให้เป็นปีแห่งการยกระดับมาตรฐานการเกษตรสู่ความยั่งยืน ตนได้เขียนแผนทั้งหมดตามแนวคิดเปรียบพื้นที่หรือทรัพยากรของประเทศที่มีจำกัด จำนวน 149 ล้านไร่เป็นกระดาษ A4 โดยพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุด สร้างแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง บูรณาการงานสู่ 13 นโยบายหลัก (Agenda) นำนวัตกรรมเทคโนโลยีและองค์ความรู้ เข้ามาช่วยขับเคลื่อน สามารถลดต้นทุนได้ 20% เพิ่มผลผลิตได้ 20% เพื่อไปสู่เป้าหมายปลายทางคือ คุณภาพชีวิตของเกษตรกรดีขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น หนี้สินลดลง และมีความภาคภูมิใจในอาชีพเกษตรกรสร้างรายได้หลักให้ประเทศ ซึ่งปี 2561 ได้กำหนดแผนบูรณาการแผนงานโครงการสำคัญที่จะดำเนินการให้เห็นผลชัดเจนมากขึ้น 15 แผนงานหลัก ได้แก่
1. การบริหารจัดการน้ำ 2. เกษตรแปลงใหญ่ 3. ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร 4. การบริหารพื้นที่เกษตรโดย Agrimap 5. การพัฒนาเกษตรกรสู่สมาร์ทฟาร์มเมอร์ 6. พัฒนาสถาบันเกษตรกรในรูปแบบประชารัฐ 7. ธนาคารสินค้าเกษตร 8. เกษตรอินทรีย์ 9. เกษตรทฤษฏีใหม่ 10. การแก้ปัญหาประมงไอยูยู 11. พัฒนาศูนย์เมล์ดพันธุ์ข้าว 12. การเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร และการใช้เครื่องจักรกลทดแทนแรงงาน 13. ตลาดสินค้าเกษตร 14. การพัฒนาสินค้าเกษตรสู่มาตรฐาน 15. การจัดการหนี้สินสมาชิกสหกรณ์ ภายใต้งบประมาณปี 2561 ประมาณ 55,000 ล้านบาท จากงบประมาณของกระทรวงเกษตรฯ ปี 2561 ทั้งสิ้น 103,580 ล้านบาท
“ในปีที่ผ่านมาหลายๆอย่างก็เริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมไม่ว่าจะเป็นการจัดการน้ำ แปลงใหญ่ ประชารัฐ ยกระดับสินค้าเกษตร แต่ในปี61 ต้องเน้นบูรณาการและชี้เป้าให้ชัดว่าต้องทำเท่าไร ตรงไหนอย่างไร เน้นๆ ให้เห็นว่าเกษตรกรมีรายได้เพิ่มจากแปลงใหญ่จริง และตเองเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร อินทรีย์ ในแต่ละจังหวัดให้ชัด”
ทั้งนี้ 15 แผนงานจะมีหน่วยงานหลักและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาบูรณาการการทำงานร่วมกัน และมีการประเมินผลความสำเร็จในแต่ละช่วงเวลาโครงการ พร้อมทั้งได้กำหนดเป้าหมายให้เป็นปีแห่งการยกระดับคน การบริหารจัดการมาตรฐานสินค้าเกษตรสู่เกษตร 4.0 โดยมีกรอบแนวคิดและการดำเนินงานต่อเนื่องตามนโยบายยกกระดาษ A4 ซึ่งจะเป็นกลไกผลักดันให้แผนขับเคลื่อน Smart Agricultural Curve ในปี 2561 บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้โดยเน้นการพัฒนาบุคลากร ทั้งข้าราชการและเกษตรกร โดยข้าราชการต้องเป็นข้าราชการที่มีสมรรถนะสูง มีอุดมการณ์ รอบรู้ในงานของตน และเชี่ยวชาญหลากหลายสาขาวิชา สามารถนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเกษตรไปแนะนำเกษตรกรได้
รวมทั้งเข้าใจหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนเร่งสร้างเกษตรกรให้เป็น Smart Farmer นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปปรับใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าเกษตร จัดทำแผนธุรกิจ และเชื่อมโยงตลาดได้ รวมถึงยกระดับการบริหารจัดการ โดยภาคราชการต้องเน้นการทำงานแบบบูรณาการ แลกเปลี่ยนและแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยงาน รวมทั้งนำเทคโนโลยี นวัตกรรม และงานวิจัยมาใช้ในการขับเคลื่อนงานได้ ส่วนเกษตรกรต้องบริหารจัดการสินค้าเกษตรแบบครบวงจร เพิ่มมูลค่าด้วยการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ ประยุกต์ใช้นวัตกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ
รายงานข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุ สำหรับงบประมาณรายจ่ายปี 2561 เพิ่มขึ้นจากงบปีที่แล้ว จำนวน 90,050.07 ล้านบาท เนื่องจากมีส่วนงานโครงการชลประทาน กรมชลประทาน ที่จำเป็นต้องเพิ่มและพัฒนาแหล่งน้ำ โดยกรมชลประทานได้รับงบประมาณเพิ่มจาก 4 หมื่นล้าน เป็น 5 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึง แผนผันน้ำสตึงนัม พล.อ.ฉัตรชัยกล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องศึกษาความจำเป็นใช้น้ำและแหล่งน้ำที่จะนำมารองรับพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้มีความชัดเจนมากขึ้นก่อน และยืนยันว่ายังไม่ได้ล้มแผนแต่อย่างใด ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้มีหลายหน่วยงานที่ต้องช่วยกันศึกษาความจำเป็นและให้เกิดความเหมาะสมที่สุดร่วมกัน
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #130 เมื่อ:
กันยายน 06, 2017, 11:04:33 PM »
ม.หอค้าไทย ชี้ขึ้นแอลพีจี ไม่กระทบราคาสินค้า-เงินเฟ้อ
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงการปรับขึ้นแก๊สหุงต้มแอลพีจีอีก 10 บาทต่อถัง นั้น แยกได้เป็น 2 ส่วน คือในแง่ต้นทุนและขนส่งสินค้า เชื่อว่าไม่ได้รับผลกระทบ เพราะการขนส่งระยะไกลที่ปัจจุบันหันใช้เอ็นจีวีเป็นหลัก และไม่กระทบต่อค่าไฟฟ้าด้วย เพราะไม่ได้ใช้แอลพีจีในการผลิต ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะปรับขึ้นราคาสินค้า อีกทั้งเศรษฐกิจรากหญ้ายังไม่ดีนัก เชื่อว่าผู้ผลิตจะไม่ขยับราคาจนเสียลูกค้าไป
อีกส่วนคือการใช้หุงต้มในครัวเรือนและร้านขายข้าวแกง ซึ่งน่าจะมีผลต่อราคาต่อจาน เพิ่ม 25-50 สตางค์ แต่เมื่อมองกำลังซื้อในปัจจุบัน จึงไม่มีนัยยะที่จะมีผลต่อการปรับราคาเช่นกัน จึงเชื่อว่าการปรับแอลพีจีครั้งนี้ จะไม่กระทบต่อราคาสินค้าส่วนใหญ่และอัตราเงินเฟ้อ ที่ยังคงคาดการณ์เงินเฟ้อทั้งปีไว้ 0.7-1%
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #131 เมื่อ:
กันยายน 06, 2017, 11:05:03 PM »
กรมการค้าภายในตรวจเข้มราคาจำหน่ายปลีกก๊าซหุงต้ม ห้ามขายเกินราคาแนะนำ
วันที่ 6 กันยายน 2560 - 15:41 น
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า จากที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 เห็นชอบให้ราคาจำหน่ายก๊าซ LPG ลอยตัว มีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2560 และสถานการณ์เดือนกันยายน 2560 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมเดือนสิงหาคม 2560 ตันละ 440 USD เป็นตันละ 490 USD เพิ่มขึ้นตันละ 50 USD มีผลทำให้ราคา ณ โรงกลั่น ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมกิโลกรัมละ 16.25 บาท เป็นกิโลกรัมละ 17.69 บาท เพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ 1.43 บาท คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)
จึงได้ประชุมเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2560 พิจารณาแล้วเพื่อให้ราคาจำหน่ายปลีกก๊าซ LPG สะท้อนต้นทุน ในขณะเดียวกันต้องไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนมากเกินไป จึงมีมติให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อรักษาเสถียรภาพราคา โดยราคาก๊าซ LPG ที่ปรับเพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ 1.43 บาท ให้กองทุนน้ำมันช่วยรับภาระกิโลกรัมละ 81 สตางค์ และให้ปรับราคาจำหน่ายปลีกก๊าซ LPG ปรับเพิ่มขึ้น เพียงกิโลกรัมละ 67 สตางค์ ซึ่งเมื่อรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม จากเดิมกิโลกรัมละ 20.49 บาท เป็นกิโลกรัมละ 21.15 บาท ทั้งนี้ ก๊าซ LPG ขนาดบรรจุถัง 15 กิโลกรัม ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จะมีราคาเพิ่มขึ้นถังละ 10 บาท จากเดิมถังละ 343 บาท ปรับเป็นถังละ 353 บาท โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2560
กรมการค้าภายในได้วิเคราะห์ผลกระทบจากการปรับราคาจำหน่ายปลีกก๊าซ LPG ที่เพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ 67 สตางค์ ในครั้งนี้ พบว่า ส่งผลให้ต้นทุนอาหารปรุงสำเร็จเพิ่มขึ้นจาน/ชามละ 3 สตางค์เท่านั้น ดังนั้นผู้ประกอบการอาหารปรุงสำเร็จจึงไม่มีเหตุผลที่จะปรับราคาอาหารปรุงสำเร็จเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ กรมการค้าภายในมีการกำกับดูแลราคาจำหน่ายปลีกก๊าซ LPG โดยออกประกาศราคาจำหน่ายปลีกแนะนำในเขตกรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ โดยราคาก๊าซ LPG ขนาดบรรจุถัง 15 กิโลกรัม ปรับเพิ่มขึ้นถังละ 10 บาท จากเดิม 343 บาท เป็นถังละ 353 บาท และในต่างจังหวัดราคาจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นจากราคาเดิมถังละ 10 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2560 และแจ้งผู้ค้าก๊าซ (มาตรา 7) โรงบรรจุก๊าซ และสมาคมแก็สปิโตรเลียมเหลวให้กำชับร้านค้าปลีกจำหน่ายปลีกก๊าซหุงต้มไม่สูงกว่าราคาแนะนำ
อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อป้องกันไม่ให้มีการฉวยโอกาสจำหน่ายเกินสมควร จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบการจำหน่ายปลีกก๊าซหุงต้มทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และประสานพาณิชย์จังหวัดให้กำกับดูแลราคาจำหน่ายปลีกก๊าซ LPG อย่างใกล้ชิดและเข้มงวด หากประชาชนพบเห็นการจำหน่ายสูงขึ้นเกินกว่าราคาแนะนำ สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัด ทั่วประเทศ กรมจะจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบและหากพบการกระทำผิดจริงจะดำเนินการตามกฎหมาย มาตรา 29 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #132 เมื่อ:
กันยายน 06, 2017, 11:05:39 PM »
“สมคิด” นำทีม รับ รมต.กระทรวงมิติของญี่ปุ่น นำทัพนักลงทุน 500 คนเยือนไทย ฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 130 ปี “บิ๊กตู่”รับเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำ พร้อมจัดแมตชิ่งนักธุรกิจระดับ V.I.P. ฝ่ายไทย-ญี่ปุ่น เตรียมลงนาม MOU-MOI รวม 7 ฉบับ ก่อนนำคณะลงพื้นที่อีอีซี บูมลงทุน 10 อุตฯเป้าหมายใหม่
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการหารือร่วมกับรัฐบาลญี่ปุ่นและสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น เกี่ยวกับความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ในวาระครบ 130 ปี ความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น ในปี 2560 ทางรัฐบาลและสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นจะนำนักลงทุนระดับซีอีโอและผู้บริหาร 500 คน เดินทางมาในวันที่ 11-13 ก.ย. 2560 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ทัพนักลงทุนญี่ปุ่นเดินทางเข้ามาประเทศไทยจำนวนมาก
ทัพนักลงทุนญี่ปุ่นบุกอีอีซี
นักลงทุนญี่ปุ่นจะลงพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) สนับสนุนโยบายไทยแลนด์ 4.0 โดยกระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (มิติ) จะร่วมมือกับไทย ในพื้นที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ที่มีนักลงทุนญี่ปุ่นอาศัยอยูมากกว่า 70,000 คน
“เพื่อให้คนทั้งโลกเห็นว่า ญี่ปุ่นกับไทยมีความสัมพันธ์กันมานานและแน่นแฟ้น ซึ่งนักธุรกิจที่มาก็เป็นระดับผู้บริหารและซีอีโอจากบริษัทแม่ รวมทั้งเจโทร ฟูกูโอกะ และนิเคอิ ถือเป็นโชคดีของเรา”
จัดแมตชิ่งธุรกิจระดับ V.I.P.
นายสมคิดกล่าวว่า กำหนดการหลังคณะนักลงทุนจากญี่ปุ่นจะเดินทางถึงไทยวันที่ 11 ก.ย. จะเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดเลี้ยงอาหารค่ำ วันที่ 12 ก.ย. เป็นงานสัมมนาและพบปะกับนักลงทุนภาคเอกชนของไทย ซึ่งจะมีการนำนักธุรกิจระดับ วี.ไอ.พี.ของไทยและญี่ปุ่นมาเจอกัน ที่เรียกว่าเป็นการแมตชิ่ง และจากนั้นวันที่ 13 ก.ย. คณะทั้งหมดจะเดินทางไปดูพื้นที่อีอีซี
ลงนาม MOU-MOI 7 ฉบับ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุดภาครัฐได้จัดทำร่างกำหนดการ Symposium on Thailand 4.0 towards Conected (กิจกรรมความร่วมมือทางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระหว่างไทยกับญี่ปุ่น) ในวันที่ 12 ก.ย.จะมีพิธีแลกเปลี่ยนบันทึกความเข้าใจ (MOU) และหนังสือแสดงเจตจำนง (MOI) ระหว่างฝ่ายไทยกับญี่ปุ่น 1.สมาพันธธุรกิจญี่ปุ่น (Keidanren) กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กับหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งญี่ปุ่น (JCCI) 2.สำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) กับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA)
3.กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมกับสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ภายใต้แนวคิด Flex Campus 4.นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร กับบริษัท ฮิตาชิ 5.กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กับเจโทร 6.กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กับองค์กรสนับสนุน SMEs แห่งประเทศญี่ปุ่น (SMRJ) 7.กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กับบริษัท JC Sevice Co.,Ltd.
จับคู่พันธมิตรไทย-ญี่ปุ่น
จากนั้นจะมีการประชุมทวิภาคีฝ่ายไทยประกอบด้วย รองนายกฯสมคิด รัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่กระทรวงที่เกี่ยวข้อง กับฝ่ายญี่ปุ่น นำโดย รมต.กระทรวงมิติ กับคณะ ส่วนช่วงบ่ายจะมีการนำเสนอในหัวข้อ Investment Opportunities in Thailand โดย ดร.คณิศ แสงสุพรรณ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก กับนางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) การนำเสนอในหัวข้อ New Emerging Opportunities Thailand-Japan Parnership โดยตัวแทนเอกชนญี่ปุ่นและเอกชนไทย โดยฝ่ายญี่ปุ่น ประกอบด้วย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ (ไทยแลนด์) Azbil Corpora-tion และบริษัท อาซาฮี กลาส เคมิคอล (AGC) กิจกรรมการจับคู่ธุรกิจระหว่างนักลงทุนไทยและญี่ปุ่น แยกเป็น 4 โซน 1.โซนอุตฯยานยนต์ การบิน ศูนย์ซ่อมอากาศยาน 2.อุตฯอิเล็กทรอนิกส์ หุ่นยนต์ 3.อุตฯการแพทย์ การเกษตร อาหาร ฯลฯ 4.อุตฯบริการ การค้า ค้าปลีก โลจิสติกส์ ฯลฯ จบด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ของภาคเอกชนไทยและญี่ปุ่น ฝ่ายละ 3 บริษัท
อุตตมหวังดึงญี่ปุ่นลงทุน EEC
นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ทั้ง 500 บริษัทญี่ปุ่น ขณะนี้ได้รับการยืนยันมาแล้วหลายราย อาทิ อายิโนะโมะโตะ, คูโบต้า, ฮิตาชิ, Azbil Corporation ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านระบบจัดการพลังงานสำหรับอาคารและโรงงานอุตสาหกรรม และผลิตเครื่องมือตรวจวัดสำหรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี, Asahi Glass Chemicals-AGC ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านเคมีภัณฑ์ อาทิ โซดาแอช, กลุ่มคลอร์-อัลคาไล และยูรีเทน, Mitsubishi, Kobayashi, Mitsubishi Motor เป็นต้น
นายคณิศ แสงสุพรรณ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ได้ให้ทางคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สรุปรายชื่อนักลงทุนไทยที่ต้องการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) กับทางบริษัทญี่ปุ่น มาให้กระทรวงทันที ซึ่งทางญี่ปุ่นเองมีความพร้อมที่จะ Matching อยู่แล้ว
จัด 400 บ.ไทย พบ 800 บ.ญี่ปุ่น
นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ทางหอการค้าฯได้รวบรวมจำนวนนักลงทุนไทยประมาณ 400 ราย ซึ่งจัดกลุ่มออกเป็น 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) เรียบร้อยแล้ว เพื่อที่จะเข้าร่วมการประชุมสัมมนาในวันที่ 12 ก.ย. กับทาง METI โดยนักลงทุนญี่ปุ่นที่จะเดินทางมา 500 บริษัท รวมกับนักธุรกิจญี่ปุ่นที่ลงทุนในไทยอยู่แล้วอีก 300 บริษัท รวมกว่า 800 บริษัท ส่วนบริษัทใหญ่ที่ยืนยันเข้าร่วมงานของไทย เช่น SCG, ปตท., เซ็นทรัล, ศรีไทย เป็นต้น
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #133 เมื่อ:
กันยายน 06, 2017, 11:06:00 PM »
ฟู้ดอินกรีเดียนท์เอเชีย 2017
นายมนู เลียวไพโรจน์ ประธานบริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 13-15กันยายน 2560 ทางยูบีเอ็มจะจัดงานฟู้ดอินกรีเดียนท์เอเชีย 2017(Fi Asia 2017) ขึ้นที่ไบเทค บางนาถือเป็นงานแสดงสินค้า เทคโนโลยีและนวัตกรรม ส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่มที่ยิ่งใหญ่ในเอเชียโดยผู้จัดงานจึงมุ่งเน้นการนำเสนอนวัตกรรมในการใช้ส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่มเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการให้เกิดมูลค่ามากยิ่งขึ้น
โดยมีทั้งการจัด InnovationZone โซนจัดแสดงนวัตกรรมส่วนผสมอาหารและเครื่องดื่มจากเทรนด์อาหารที่น่าสนใจ, InnovationTour การน..าทัวร์ในส่วนงานแสดงสินค้าตามประเภทสินค้าที่อิงเทรนด์ตลาด, การประกาศผลการประกวดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มให้กับผู้ประกอบการสตาร์ตอัพ,การจัดสัมมนาวิชาการนานาชาติในหัวข้อการพัฒนานวัตกรรมส่วนผสมอาหารสำหรับสังคมผู้สูงอายุพร้อมด้วยหัวข้ออื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย
ภายในงานมีสินค้ากว่า 700 บูทจาก 56 ประเทศทั่วโลก คาดว่างานครั้งนี้จะมีผู้เข้าชมทะลุ 17,000 ราย จึงได้ขยายพื้นที่การจัดงานเพิ่ม35% พร้อมตั้งเป้าการทำธุรกรรมภายในงานไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท และยังนำมาซึ่งการทำการค้าต่อเนื่องจากการพัฒนาสินค้ามากกว่าพันล้านเหรียญสหรัฐโดยผู้สนใจเข้าร่วมชมงานสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
www.fiasia.com
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #134 เมื่อ:
ตุลาคม 31, 2017, 10:45:36 PM »
“พาณิชย์” เคาะขายข้าวนึ่งจีทูจีให้บังคลาเทศ 1.5 แสนตัน มูลค่า 69.75 ล้านเหรียญสหรัฐ
“พาณิชย์” เคาะขายข้าวนึ่งจีทูจีให้บังคลาเทศ 150,000 ตัน 69.75 ล้านเหรียญสหรัฐ จัดสรรผู้ส่งออกส่งมอบ-ก.เกษตรฯ ประชุมระดมสมองรับมือผลผลิตข้าวนาปี 6 พ.ย .นี้
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า บังคลาเทศได้เจรจาซื้อขายข้าวนึ่ง 5% แบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (GtoG) จำนวน 150,000 ตัน มูลค่า 69.75 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าวก็มั่นใจว่าราคาข้าวปีนี้จะดีขึ้น และทำให้การส่งออกทั้งปีทำได้ถึง11 ล้านตัน แม้ว่าหลายพื้นที่จะประสบปัญหาน้ำท่วม แต่พื้นที่นาดอนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะได้ผลดี โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ ประกอบกับการที่ภาครัฐมีโครงการสินเชื่อชะลอการขายให้กับชาวนา และโครงการประกันความเสียหายจากภัยธรรมชาติก็จะบรรเทาความเสียหายให้กับชาวนาที่ได้รับผลกระทบได้มาก
รายงานข่าวระบุว่า เมื่อเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา กรมการค้าต่างประเทศทำสัญญาขายข้าวแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (GtoG) ให้กับรัฐบาลบังคลาเทศ โดยกำหนดราคาพร้อมค่าส่งมอบถึงโกดังภายในประเทศ (ซีแอนด์เอฟ) ตันละ 465 เหรียญสหรัฐฯ โดยหลังจากนี้กระทรวงจะจัดสรรให้ผู้ส่งออกที่เป็นสมาชิกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เริ่มดำเนินการส่งมอบในเดือนนี้
นายสุเทพ คงมาก นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวว่า ผลกระทบจากน้ำท่วมในหลายพื้นที่ขณะนี้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่การปลูกข้าวค่อนข้างมาก โดยเฉพาะที่ลุ่ม ซึ่งบางพื้นที่อาจเก็บเกี่ยวได้ แต่จะมีความชื้นสูง มีผลต่อราคาจำหน่าย โดยขณะนี้ข้าวเปลือกจ้าวความชื้น 15% ราคาค่อนข้างต่ำอยู่ที่ 7,600-7,700 บาทต่อตัน จากเดิมที่เคยราคาอยู่ที่ 8,000-8,500 บาทต่อตัน แต่นาในที่ดอนผลผลิตจะดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา ทำให้คาดว่าผลผลิตข้าวในภาพรวมในปีนี้จะไม่ลดปริมาณลงมาก หรืออาจจะปริมาณใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลมีโครงการสินเชื่อชะลอการขาย เชื่อว่าจะทำให้ชาวนาชะลอการขายข้าวพร้อมๆกันในช่วงหลังการเก็บเกี่ยวได้มาก คาดว่าชาวนาจะนำข้าวร่วมโครงการกว่า 3 ล้านตัน เพราะปีที่แล้วผลจากโครงการดังกล่าวก็ทำให้ราคาข้าวในภาพรวมดีขึ้น
ทั้งนี้ ในวันที่ 6 พ.ย. นี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือในประเด็นต่างๆ เช่นประเมินความเสียหายของผลผลิตข้าวจากปัญหาน้ำท่วม ผลผลิตข้าวในภาพรวม และทางสมาคมก็จะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาปรับปรุงเงื่อนไขการชดเชยประกันความเสียหายใหม่ ให้ครอบคลุมมากขึ้น
นายเกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า มาตรการสินเชื่อชะลอการขายของภาครัฐจะช่วยพยุงราคาข้าวภายในประเทศได้เป็นอย่างดี ทำให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น โดยปีนี้ราคาซื้อขายในตลาดข้าวหอมมะลิความชื้น 28% ราคาดีขึ้นกว่าปีก่อน โดยอยู่ที่ 9,500-10,000 บาทต่อตัน เชื่อว่าหากราคาตลาดอยู่ในระดับนี้หรือใกล้เคียง ชาวนาก็น่าจะเลือกขายข้าวออกไปในท้องตลาดมากกว่านำข้าวเข้าโครงการ ซึ่งทางสมาคมโรงสีฯ ก็พร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐ แต่ยอมรับว่ามีความกังวลเกี่ยวกับสินเชื่อที่จะได้รับอนุมัติจากธนาคารโดยเฉพาะธนาคารกรุงไทย ที่ได้อนุมัติสินเชื่อในโครงการดังกล่าวในปีที่ผ่านมาถึง 70,000 ล้านบาท ซึ่งเกินเพดานไปถึง 20,000 ล้านบาท ทำให้ปีนี้อาจมีปัญหาในการอนุมัติสินเชื่อให้กับโรงสี
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #135 เมื่อ:
ตุลาคม 31, 2017, 10:46:01 PM »
ทีมวิเคราะห์ ปตท.คาดราคาน้ำมันโลกปี’61 พุ่งแตะ 55-57 เหรียญ/บาร์เรล
วันที่ 31 ตุลาคม 2560 - 16:47 น.
38
งานสัมมนา 2017 The Annual Petroleum Outlook Forum โดยทีมวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันของกลุ่ม ปตท. หรือ PRISM ร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า ทีมวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันของกลุ่ม ปตท.ระบุ สถานการณ์น้ำมันโลกเป็นการชักเย่อระหว่างกลุ่มโอเปก และสหรัฐ โดยภายหลังสหรัฐเริ่มผลิตเชลล์ออยล์ในปี 2008 ทำให้กลุ่มโอเปกเพิ่มกำลังผลิตเพื่อแข่งขันในปี 2014 จนกำลังผลิตน้ำมันโลกเริ่มล้นตลาดจนราคาลดลงมาก ปี 2015-2016 กลุ่มโอเปกเริ่มลดกำลังการผลิตและลดกำลังผลิตจนถึงเดือนมีนาคม 2561 โดยทีมวิเคราะห์แนะว่าควรจับตาการประชุมโอเปกและนอนโอเปกวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ โดยคาดว่าที่ประชุมจะมีการตัดสินใจระหว่าง 3 กรณี คือ ไม่ต่ออายุการลดกำลังผลิตน้ำมัน หรือตัดสินใจขยายเวลาการต่ออายุการลดกำลังผลิตน้ำมันเป็นเดือนมิถุนายน 2561 ทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ระดับ 50-55 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หรือเลื่อนเป็นเดือนธันวาคม 2561 เพิ่มขึ้นเป็นระดับ 52-57 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพราะปริมาณที่เหมาะสมจะทำราคาขยับขึ้นส่งผลต่อรายได้กลุ่มประเทศโอเปกและนอนโอเปก ขณะที่สหรัฐมองว่าสถานการณ์ปัจจุบันเป็นบวก สร้างกำไรอย่างต่อเนื่อง
“ทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปี 2561 คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ระดับ 52-57 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นในกรอบแคบ ความต้องการน้ำมันดิบขยายตัวเป็น 1.4-1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวจนขยายตัว 3.7%” ทีมวิเคราะห์ระบุ
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #136 เมื่อ:
ตุลาคม 31, 2017, 10:46:24 PM »
ม.หอค้าไทย คาดเงินสะพัดลอยกระทงเกือบหมื่นล้าน
วันที่ 31 ตุลาคม 2560 - 16:06 น.
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย แถลงผลสำรวจพฤติกรรม และการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงวันลอยกระทง สำรวจระหว่างวันที่ 23-28 ตุลาคม จำนวน 1,199 ตัวอย่าง พบว่า 39% ตอบว่าบรรยากาศในการลอยกระทงปีนี้สนุกสนานเหมือนเดิมกับปีที่ผ่านมา และ 20.1% สนุกสนานมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาล แต่อีก 20.7% ตอบว่าสนุกสนานน้อยกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากจิตใจไม่พร้อมที่จะอยู่ในอารมณ์รื่นเริง จากการตอบแบบสอบถามแสดงให้เห็นว่าผู้คนเริ่มพร้อมที่จะสังสรรค์ และบรรยากาศจะเริ่มคึกคักบ้าง แต่อาจจะยังไม่รื่นเริงเต็มที่ เพราะคนไทยเพิ่งผ่านพ้นช่วงโศกเศร้า และเพิ่งออกทุกข์มาซึ่งเป็นช่วงของการปรับตัว
“ทำให้คาดการณ์ในช่วงวันลอยกระทงปี 2560 จะมีเงินสะพัดกว่า 9,928 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากปี 2559 ที่มีเม็ดเงินสะพัดอยู่ที่ 9,638 ล้านบาท โดยเป็นเม็ดเงินการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในต่างจังหวัด 6,564 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.8% จากปีก่อน และเป็นเม็ดเงินการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 3,570 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5%” นายธนวรรธน์กล่าวและว่า เมื่อถามถึงว่าปีนี้มีแผนจะออกไปลอยกระทงหรือไม่ มีกว่า 92.9% ตอบว่า วางแผนจะไปลอยกระทง เนื่องจากเป็นการสืบสานประเพณี เพื่อขอพร และขอให้เศรษฐกิจดีขึ้น ขณะที่ 6.6% ตอบว่าไม่มีแผนไปลอยกระทง เนื่องจากยังอยู่ในช่วงเวลาโศกเศร้า และต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย
นายธนวรรธน์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างกว่า 80% ตอบว่าในช่วงปลายปีนี้เริ่มมีบรรยากาศเหมาะสมที่จะเริ่มจับจ่ายใช้สอยในช่วงใกล้เทศกาลปีใหม่ โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะขยายตัวได้ที่ 3.5-4% และเมื่อสอบถามถึงภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2561 จะปรับตัว ดีขึ้นหรือไม่ เมื่อเทียบกับปี 2560 มี 99% ตอบว่า เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น และมองว่า ช่วงไตรมาส 2 ปีหน้า จะเป็นช่วงที่เหมาะสมมากในการจะเริ่มจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าคงทน เช่น รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ นอกจากนี้ มีกว่า 50% ตอบว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้า จะขยายตัวได้ที่ 4-4.5%
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #137 เมื่อ:
ตุลาคม 31, 2017, 10:46:44 PM »
ครม.ไฟเขียวงบ 45 ล้านบาท ช่วยเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 60/61
วันที่ 31 ตุลาคม 2560 - 14:43 น.
วันที่ 31 ตุลาคม 2560 เวลา 11.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานจากตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาลว่า นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังจากการประชุมในวันนี้ว่าด้วยเรื่องแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2560/61 โดยในวันนี้ได้อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ เกี่ยวกับแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 60/61 วงเงินงบประมาณ 45 ล้านบาท
ขณะนี้สำนักงานเศรษฐกิจทางเกษตรคาดว่าในปี 2560 จะมีปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกมาจำนวนทั้งสิ้น 4.43 ล้านตัน อย่างไรก็ตามยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ซึ่งปกติต้องการปีละ 8.1 ล้านตัน
นายณัฐพรกล่าวต่อว่า ช่วงเดือนกันยายน-พฤศจิกายน เป็นช่วงที่ผลผลิตออกสู่ท้องตลาดประมาณ 3.07 ล้านตัน หรือคิดเป็นร้อยละเกือบ 70% ของผลผลิตทั้งประเทศ ประกอบกับผลกระทบจากฝนตกชุกในหลายพื้นที่ในช่วงนี้จึงส่งผลให้ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีความชื้นสูง และเกษตรกรหรือผู้รับซื้อบางรายไม่สามารถปรับปรุงคุณภาพได้ทันพร้อมที่จะจำนวนผลผลิตเข้าสู่โรงงานอาหารสัตว์ ทำให้ราคาอาจมีแนวโน้มปรับตัวลดลง
ดังนั้นจึงได้เสนอโครงการเพื่อสนับสนุนสินเชื่อให้กับสถาบันเกษตรกร ได้แก่ สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมหรือรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกร ซึ่งขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กับกรมส่งเสริมการเกษตร นอกจากนี้ยังช่วยดูดซับปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงที่ผลผลิตออกมาก โดยเป้าหมายจะเป็นวงเงินสินเชื่อทั้งหมดจำนวน 1,500 ล้านบาท ทาง ธ.ก.ส จะคิดดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราร้อยละ 4 ต่อปี โดยคิดจากสถาบันเกษตรกรร้อยละ 1 และทางรัฐบาลจะชดเชยส่วนที่เหลือร้อยละ 3 เป็นระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน นับจากวันที่ได้รับเงินกู้
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #138 เมื่อ:
พฤศจิกายน 01, 2017, 10:58:52 PM »
ค่ายรถเรียกกำลังซื้อปลายปี ผนึกสินเชื่อลุยเจาะลูกค้าเก่า
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 - 22:01 น.
ค่ายรถปลุกกำลังซื้อโค้งสุดท้าย ทยอยส่งรถใหม่ลงตลาดพร้อมงัดแคมเปญเด็ดกระตุกยอด เรียกลูกค้าเก่าโดยเฉพาะกลุ่มรถคันแรกที่ได้เวลาปลดล็อก ผนึกไฟแนนซ์ไฟเขียวสินเชื่อแบบอัตโนมัติ ออฟเฟอร์ปลอดดาวน์ดอกเบี้ยต่ำสุด ๆ มั่นใจ 2 เดือนช่วยดันยอดขายรถทั้งปีทะลุ 8.4 แสนคัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าความเคลื่อนไหวของตลาดรถยนต์-รถจักรยานยนต์ และอุปกรณ์ต่อเนื่อง ทั้งประดับยนต์-เครื่องเสียง และอื่น ๆ ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีเริ่มคึกคักมากขึ้น แต่ละค่ายโหมทำกิจกรรมและแนะนำสินค้าใหม่เพื่อรองรับอีเวนต์ใหญ่มหกรรมยานยนต์หรือมอเตอร์เอ็กซ์โปที่กำลังจะอุบัติขึ้นปลายเดือนพฤศจิกายนต่อเนื่องไปถึงกลางเดือนธันวาคม ซึ่งคาดการณ์ว่ายอดขายในช่วงควอเตอร์สุดท้ายของปีน่าจะทะลุ 2.1-2.2 แสนคัน หรือทำให้ตลาดรวมรถยนต์ทั้งปีพุ่งสูงถึง 8.4 แสนคัน
สำหรับไทม์ไลน์อีเวนต์ค่ายรถยนต์ เรียงคิวกันแน่นเอี้ยด เริ่มจากค่ายรถหรู มาเซราติประเทศไทย โดยบริษัท ดีไซน์ มอเตอร์เวอร์ค จำกัด ในเครือบริษัท มาสเตอร์ กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด จัดแถลงข่าว โชว์ผลงานปีแรกพร้อมเตรียมแนะนำเอสยูวี ลาแวนเต้ เอส ที่จะเปิดตัวในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปตามมาด้วยเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ประกาศความร่วมมือกับค่ายบางชันเยนเนอเรลเอเซมบลี เปิด “ศูนย์เตรียมรถยนต์ใหม่” (Vehicle Preparation Center) ย่านบางนา-ตราด กม. 30 พื้นที่กว่า 100,000 ตารางเมตร สามารถรองรับและเก็บรถยนต์ได้มากกว่า 2,000 คัน และมีศักยภาพนำรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ เข้าสู่ขั้นตอน Pre Delivery Inspection (PDI) ได้กว่าปีละ 20,000 คัน รวมถึงเปิดตัวรถสปอร์ตรุ่นล่าสุดในตระกูล AMG GT
ตามมาด้วยค่ายนิสสัน เปิดโครงการแค่ใจก็เพียงพอ ตามพ่อที่พอเพียง คาราวานเส้นทางตามรอยพ่อ พร้อมทยอยคลอดแคมเปญสินเชื่อรถยนต์ประจำเดือนพฤศจิกายน ขณะที่วีเคเอส กรุ๊ป (เอเซีย) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มติดรถยนต์ อาคารภายใต้ยี่ห้อ วี-คูล และ iQUE จะจัดแถลงข่าวหลังได้รับสิทธิ์เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายฟิล์มเซรามิกภายใต้ยี่ห้อ Huper Optik แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยอีกหนึ่งแบรนด์
ค่ายเชฟโรเลต เตรียมฉลองครบรอบ 100 ปี กระบะอเมริกันพันธุ์แกร่งที่สร้างมาเพื่ออนาคต ขณะที่ค่ายใบพัดสีฟ้าบีเอ็มดับเบิลยู จะเปิดตัวมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู G 310 GS ใหม่ และบริษัทไทยยามาฮ่า มอเตอร์ เปิดตัวยามาฮ่า “FINN” เพื่อบุกตลาดในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้
วอลโว่ รถหรูอีกค่าย พร้อมเปิดตัวเอสยูวีใหม่ วอลโว่ XC60 ออกสู่สายตาสื่อมวลชนไทยเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นค่ายอีซูซุพร้อมฉลอง 60 ปีที่ประกอบกิจการในเมืองไทย และเปิดตัวนวัตกรรมปิกอัพรุ่นใหม่ล่าสุด อีซูซุ ดีแมคซ์ 1.9 และ 3.0 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์”
ตามมาด้วยค่ายมาสด้า พร้อมมากสำหรับเทคโนโลยีใหม่ และแนะนำเอสยูวี เจเนอเรชั่นที่ 2 ซีเอ็กซ์-5 โมเดลเชนจ์ ต่อด้วยไทยรุ่งยูเนียนคาร์ เปิดตัว TR TRANSFORMER II รุ่นพิเศษ ฉลองครบรอบ 50 ปี และค่ายเอ็มจี ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวสมาร์ทคาร์รุ่นใหม่ “New MG ZS” เอสยูวีสายพันธุ์อังกฤษ ขณะที่ค่ายมินิ เตรียมเผยโฉม มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ คันทรีแมน ใหม่ ในงาน “MINI JCW True Respect Night” ก่อนที่ในช่วงปลายเดือนทุกค่ายจะทุ่มเทสรรพกำลังให้กับงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2017 ช่วงวันที่ 30 พ.ย.-11 ธ.ค.นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นอกจากการแนะนำรถใหม่ที่ทยอยคลอดต่อเนื่องตลอดเดือนนี้แล้ว แต่ละยี่ห้อยังได้เตรียมแคมเปญเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ และได้ผนึกค่ายสินเชื่อเพื่อนำเสนอโปรแกรมที่จะทำให้เป็นเจ้าของรถง่ายขึ้นโดยเป้าหมายแรกพุ่งตรงไปยังกลุ่มลูกค้าเก่าก่อน โดยเฉพาะลูกค้ารถคันแรกที่ครบกำหนดการถือครองรถ ให้สิทธิพิเศษอนุมัติสินเชื่อให้ทันที โดยไม่ต้องตรวจสอบประวัติเพิ่มเติม และเสนอโปรแกรมฟรีดาวน์ ดอกเบี้ยต่ำ รวมทั้งโปรแกรมบอลลูน ซึ่งเจ้าของรถสามารถผ่อนชำระค่างวดต่อเดือนไม่เยอะ และสามารถเปลี่ยนรถคันใหม่ได้ทันทีหลังสัญญาสิ้นสุด
นายเกียรติ ตั้งตรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท พระราม 3 กรุ๊ป ฮอนด้า กล่าวว่าตอนนี้ทุกค่ายรอแคมเปญเดือนใหม่จากบริษัทแม่ทั้งเงื่อนไขด้านการเงิน และการขยายระยะเวลารับประกันออกไปจาก 3 ปีเพิ่มเป็น 5 ปี ส่วนดีลเลอร์แต่ละรายมีของตัวเองกระทุ้งตลาดอยู่แล้วโดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มรถคันแรกที่สนใจเปลี่ยนรถคันใหม่มากถึง 20% เลยทีเดียว
เช่นเดียวกับนายสุรศักดิ์ ลิ้มวัฒนาพิบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูยนต์ไพบูลย์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มิตซูบิชิ รายใหญ่ในภาคอีสานกล่าวว่าลูกค้าภาคอีสานส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงฤดูขายมีการเริ่มจับจ่ายมากขึ้น
นายชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหารมาสด้า กล่าวว่า แนวโน้มตลาดรถยนต์ในประเทศไทย ตามการเก็บสถิติครึ่งปีหลังจะขายได้มากกว่า โดยคาดว่าภาพรวมการขายรถยนต์ในไทยปีนี้จะสามารถมียอดขาย 840,000 คัน จากเดิมประเมินไว้ในช่วงกลางปี 820,000 คัน
“ตลาดโตกว่าปีที่แล้วประมาณ 10% ทั้งนี้เป็นผลมาจากปัจจัยบวก โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้ารถยนต์คันแรกที่กลับเข้ามาซื้อรถยนต์คันใหม่สูงกว่าคาดการณ์เดิมที่ประเมินว่าน่าจะมีสัก 10% แต่เอาเข้าจริงสูงถึง 15%”
นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวก่อนหน้านี้ว่า ดัชนีการขายตามฤดูกาลจะบ่งชี้ว่า ไตรมาสสุดท้ายเป็นช่วงที่มียอดขายสูงสุด ด้วยกิจกรรมส่งเสริมการขายและข้อเสนอพิเศษต่าง ๆ จากบรรดาค่ายรถที่เตรียมนำมาเสนอผู้บริโภคเพื่อบรรลุเป้าหมายการขายของปี จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดรถยนต์อย่างมาก
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #139 เมื่อ:
พฤศจิกายน 01, 2017, 11:00:10 PM »
ทาทาสตีลรับอานิสงส์EEC ดันยอดขายครึ่งปีหลังพุ่ง5%
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 - 20:22 น.
ทาทาสตีล รับอานิสงส์บูมลงทุน EEC ดันยอดขายครึ่งปีหลังเพิ่มขึ้น 5% คาดทั้งปีขายได้ 1.28 ล้านตัน เดินหน้าลงทุนขยายการผลิตเหล็กตัดและดัด เปิดตลาดไวรอทอาเซียนเพิ่ม จับตานโยบาย OBOR ฉุดดีมานด์เหล็กพุ่งสวนทางนโยบายคุมผลิตของจีน
นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทาทาสตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2561 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560) มีปริมาณ 323,000 ตันจากไตรมาสก่อนที่ขายได้ 277,000 ตัน มูลค่า 5,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากไตรมาส 1/2560 และมี EBITDA กำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน มีมูลค่า 432 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2561 ที่ติดลบ 33 ล้านบาท และกำไรหลังหักภาษี มูลค่า 185 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2560 ที่ติดลบ 46 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดขายช่วงครึ่งปีแรก มีปริมาณ 600,000 ตัน แม้ว่าลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณ 615,000 ตัน แต่ยอดขายสุทธิ ที่มีมูลค่า 10,394 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 9,219 ล้านบาท โดย EBITDA กำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน มีมูลค่า 571 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 903 ล้านบาท (ตามตาราง)
บริษัทคาดการณ์ปริมาณในช่วงครึ่งปีหลังของปีงบประมาณ 2561 จะขยายตัว 5% จากช่วงครึ่งปีแรกที่มีปริมาณ 600,000 ตัน จะทำให้ภาพรวมทั้งปีมีปริมาณ 1.25-1.28 ล้านตัน สูงกว่าคาดการณ์เดิมที่วางไว้ 1.2 ล้านตัน จากเหล็กตัดและดัด และเหล็กลวดคาร์บอนต่ำน่าจะขยายตัวได้ดี ทางบริษัทจึงได้ลงทุนขยายกำลังการผลิตในส่วนการผลิตเหล็กเส้นตัดและดัดในโรงงาน NTS ที่ จ.ชลบุรี อีก 3,100 ตัน โดยใช้เงินลงทุน 65-70 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ในเดือนมิถุนายน 2561 (2018)
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยอดขายช่วงครึ่งปีหลังดีขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจของไทยจะขยายตัวขึ้น 3.6% จากแนวโน้มสถานการณ์การค้าที่ดีขึ้น การส่งออกเพิ่มขึ้น การบริโภคภาคเอกชนขยายตัว 3.2% ซึ่งได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ จากนี้การลงทุนในภาครัฐจะฟื้นในเดือนพฤศจิกายน 2560 จากเดือนก่อนที่มีวันหยุดพิเศษ และนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC ส่งผลดีต่อการลงทุนภาคเอกชน ทำให้เกิดความมั่นใจยิ่งขึ้น ภาคก่อสร้างที่น่าจะฟื้นตัวจากไตรมาส 2/2560 ที่ติดลบ 6% ส่วนความต้องการใช้เหล็กในประเทศ ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีปริมาณ 18 ล้านตัน ลดลงจากปีก่อน 19.2 ล้านตัน แต่บริษัทสามารถทำยอดชดเชยจากการลดการนำเข้าเหล็กจีนได้
อย่างไรก็ตาม ยังคงติดตามปัจจัยเสี่ยงสถานการณ์การผลิตและราคาเหล็กของจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก โดยภายหลังจากจีนมีนโยบายควบคุมการผลิตเหล็กทำให้มีปิดโรงเหล็กไปคิดเป็นปริมาณการผลิต 34-40 ล้านตัน และมีการส่งออกลดลงจาก 2559 ปริมาณ 110 ล้านตันเหลือเพียง 80 ล้านคันในปีนี้ สวนทางกับแนวโน้มความต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้นจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเตรียมพร้อมรับนโยบาย One Belt One Road (OBOR) ซึ่งส่งผลต่อเนื่องทำให้ราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้นหลายรายการ เช่น กราไฟต์อิเล็กโทรด Ferro Alloys และแร่ magnessite ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตเหล็กด้วยเตาหลอมไฟฟ้า (EAF) สูงขึ้น เฉลี่ย 20-30 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งจะกระทบต่อประเทศอาเซียนเป็นอย่างมากเพราะส่วนใหญ่ 90% ใช้ระบบนี้ โดยปัจจัยนี้มีผลทำให้ราคาส่งออกเหล็กเส้น และบิลเลต มีโอกาสปรับไปอยู่ในระดับ 530-580 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากปัจจุบันที่ 536-564 เหรียญสหรัฐต่อตัน
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #140 เมื่อ:
พฤศจิกายน 01, 2017, 11:01:27 PM »
พาณิชย์เผยเงินเฟ้อเดือน ต.ค. 60 สูงขึ้น 0.86% ผลจากราคาผักช่วงเทศกาลกินเจ-ราคาน้ำมันสูงขึ้น
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 - 14:55 น.
พาณิชย์เผยเงินเฟ้อเดือน ต.ค. 60 สูงขึ้น 0.86% ผลจากราคาผักช่วงเทศกาลกินเจสูงขึ้น ราคาน้ำมันสูงขึ้น ขณะที่กรอบเงินเฟ้อทั้งปี 0.4-1% คาดทั้งปีไม่หลุดกรอบนี้
นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (เงินเฟ้อ) เดือนตุลาคม 2560 เท่ากับ 101.38 สูงขึ้น 0.16% เมื่อเทียบเดือนกันยาน 2560 และสูงขึ้น 0.86% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อ 10 เดือน (มกราคม-ตุลาคม 2560) สูงขึ้นอยู่ที่ 0.62% ทั้งนี้ เงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นผลมาจากการปรับตัวผักสดช่วงเทสกาลกินเจ ราคาน้ำมันขายปลีกปรับตัวสูงขึ้น การปรับตัวขึ้นราคาของบุหรี่ สุรา อย่างไรก็ดี กรอบเงินเฟ้อทั้งปีที่มองไว้อยู่ที่ 0.4-1% โดยคาดว่าไม่หลุกกรอบที่มองไว้
ทั้งนี้ เงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น สาเหตุจากหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์สูงขึ้น 0.23% ตามการสูงขึ้นของหมวดผักสดและผลไม้ ขณะที่ นม ผลิตภัณฑ์นม สูงขึ้น 0.10% เช่น นมข้นหวาน นมสด เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 0.11% เช่น กาแฟผงสำเร็จรูป น้ำผลไม้ น้ำหวาน หมวดอื่นๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงบขึ้น 0.12% เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าโดยสารเรือ น้ำมันเชื้อเพลิง ยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอลล์ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี กรอบสมมุติฐานที่ใช้ประมาณการเงินเฟ้อ การขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยขยายตัว 3-4% โดยมีปัจจัยจากการใช้จ่ายภาคครัวเรือนสูงขึ้น มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การส่งออกที่มีการขยายตัว การท่องเที่ยวขยายตัว ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 45-55 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยมีผลจากการรวมตัวผู้ผลิตน้ำมันปรับลดกำลังการผลิตลง มีความต้องการใช้มากขึ้นในช่วงหน้าหนาว ความขัดแย้งทางการเมืองในกลุ่มตะวันออกกลาง อัตราแลกเปลี่ยน อยู่ที่ 33.5.34.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ปัจจัยจากการไหลเข้าของกระแสเงินทุนต่างประเทศ เป็นต้น
แต่ทั้งนี้ ต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบเงินเฟ้อ คือ ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของคู้ค้าสำคัญ ที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออก ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกแนวโน้มสูงขึ้น ค่าเงินดอลลาร์และค่าเงินเอเชียเริ่มทรงตัว ส่งผลดีต่อเสถียรภาพทางการเงิน ส่วนปัจจัยสนับสนุน คือ อุปสงค์ภาคครัวเรือนริ่มฟื้นตัว การส่งออกดี การใช้จ่ายของภาครัฐ
สำหรับการสำรวจราคาสินค้าที่ใช้ในการคำนวณเงินเฟ้อทั้งหมด 422 รายการ พบว่ามีสินค้าที่ปรับสูงขึ้น ราคาเพิ่มขึ้น 137 รายการ เช่น ข้าวสารเจ้า ปลานิล น้ำผลไม้ นมสด ผักสด ผลไม้สด กาแฟผงสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กับข้าวสำเร็จรูป ข้าวแกง/ข้าวกล่อง ค่าเช่าบ้าน น้ำมันเชื้อเพลิง ราคาสินค้าที่ปรับลดลง 85 รายการ เช่น ข้าวสารเหนียว เนื้อสุกร ไก่สด ไข่ไก่ ปลากะพง น้ำตาลทราย น้ำมันพืช น้ำปลา น้ำยาล้างจาน แชมพู แป้งทาผิวกาย ค่าธรรมเนียมผ่านทางพิเศษ ขณะที่ราคาสินค้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง 200 รายการ
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #141 เมื่อ:
พฤศจิกายน 01, 2017, 11:01:50 PM »
เชียงรายเตือนรับมือน้ำโขงขึ้นลงฮวบฮาบ หลังจีนเตรียมระบายน้ำเท่าระดับเดิมหลังซ่อมเขื่อนเสร็จ
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 - 15:05 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 นายสุรนาท ศิริโชติ ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย เปิดเผยว่า ได้รับทราบจากทางเว็บไซต์ของคณะกรรมการแม่น้ำโขง (เอ็มอาร์ซี) โดยมีประกาศแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันว่า ทางเขื่อนจิ่งหง ตั้งอยู่ในแม่น้ำโขงเขตประเทศจีน จะมีการเพิ่มระดับการระบายน้ำออกจากเขื่อนให้มากขึ้นกว่าเดิม จากเดิมที่ระบายลงมาในระดับ 504 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีในช่วงที่ผ่านมา แต่ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป เขื่อนจะเพิ่มการระบายน้ำเป็น 2,200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทำให้มีปริมาณน้ำมากขึ้นตามลำดับ
นายสุรนาทเปิดเผยอีกว่า ด้วยเหตุนี้ทางสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย จึงได้มีประกาศลงเลขที่ 9/2560 เรื่องระดับน้ำในแม่น้ำโขง โดยมีเนื้อหาที่พิจารณาแล้วว่าการเพิ่มอัตราการระบายน้ำดังกล่าวจะมีผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขง ซึ่งติดกับ จ.เชียงราย เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยจะเริ่มเห็นผลเมื่อน้ำไหลมาถึง ซึ่งคาดว่าจะมีตั้งแต่บ่ายวันที่ 2 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป จึงได้ประกาศแจ้งเตือนให้ผู้ควบคุมเรือและคนประจำเรือทุกลำที่ยังคงเดินเรืออยู่ในแม่น้ำโขงติดฝั่งไทย ได้เพิ่มความระมัดระวัง เช่น ผูกมัดเรือให้แน่น ฯลฯ
สำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงหรือปากแม่น้ำคำ ปากแม่น้ำอิง และปากแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขง ต้องระมัดระวัง โดยหากเกิดอุบัติเหตุทางน้ำสามารถแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) ตำรวจน้ำ ฯลฯ เพื่อให้การช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีต่อไป
ด้าน น.ส.ผกายมาศ เวียร์ร่า รองประธานหอการค้า จ.เชียงราย เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ศูนย์ควบคุมแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลยุนนาน ประเทศจีน ได้แจ้งถึงคนเดินเรือในแม่น้ำโขงว่าทางการจีนจะมีการลดระดับการระบายน้ำจากเขื่อนจิ่งหงให้เหลือระดับประมาณ 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพราะจะทำการซ่อมแซมบำรุงเขื่อนระหวางวันที่ 30-31 ตุลาคมที่ผ่านมา จากนั้นจะมีการระบายน้ำมากเหมือนเดิม ซึ่งเป็นผลทำให้ระดับน้ำจะเพิ่มสูงอย่างรวดเร็วดังกล่าว ดังนั้นคาดหวังว่าทางคณะกรรมการร่วมเพื่อประสานการดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ซึ่งเป็นกลไกของ 4 ประเทศลุ่มน้ำโขง คือ ไทย จีน สปป.ลาว และเมียนมา จะช่วยประสานงานทุกฝ่ายอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า เขื่อนจิ่งหง เป็นเขื่อนสุดท้ายในแม่น้ำโขงที่ตั้งอยู่ใกล้กับประเทศไทยมากที่สุด ตั้งอยู่ในเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา ซึ่งอยู่ห่างไกลจาก อ.เชียงแสน หากเดินทางทางเรือผ่านแม่น้ำโขง มีระยะทางประมาณ 344 กิโลเมตร โดยเป็นเขื่อนที่มีความสูง 118 เมตร ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 1,500 เมกะวัตต์ ซึ่งโดยปกติจะระบายน้ำลงมาในระดับตั้งแต่ 800-1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และเหนือเขื่อนจิ่งหงขึ้นไปยังมีเขื่อนใหญ่ๆ อีกหลายเขื่อนเรียงรายกันไป เช่น เขื่อนมันวาน สูง 126 เมตร กำลังผลิตไฟฟ้า 1,500 เมกะวัตต์ เขื่อนต้าเฉาชาน สูง 110 เมตร กำลังผลิตไฟฟ้า 1,350 เมกะวัตต์ เขื่อนเชี่ยววาน สูง 300 เมตร กำลังผลิตไฟฟ้า 4,200 เมกะวัตต์ เขื่อนกอนเกาเคียว สูง 105 เมตร กำลังผลิตไฟฟ้า 750 เมกะวัตต์ ฯลฯ และมีกระแสว่ามีโครงการสร้างเขื่อนใหม่ท้ายเขื่อนจิ่งหงลงมาในอนาคตอีกด้วย
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #142 เมื่อ:
พฤศจิกายน 01, 2017, 11:02:11 PM »
ราคา “มะพร้าว” พุ่ง4ปีติด จ่อขึ้นแท่นพืชเศรษฐกิจ !
วันที่ 31 ตุลาคม 2560 - 18:28 น.
ราคามะพร้าวดีต่อเนื่อง เกษตรกรหันมาปลูกเพิ่มปีละ 20% รวมกว่า 1 ล้านไร่ นายกสมาคมสวนมะพร้าวไทยเผยไทยรั้งปลูกมะพร้าวอันดับ 6 ของโลก ส่งออกตีตลาดจีน ยุโรป อเมริกา ชี้ผู้บริโภคมั่นใจผลผลิตมะพร้าวน้ำหอม-กะทิจากไทย คาดปี 2561 เติบโตต่อเนื่อง ตลาดต้องการสูง เชื่ออีก 5 ปี มะพร้าวขึ้นแท่นพืชเศรษฐกิจแทนที่สวนยาง-ปาล์ม
นายวนิชย์ ปักษ์กิ่งเมือง นายกสมาคมสวนมะพร้าวไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า นับตั้งแต่ปี 2556 ราคามะพร้าวเป็นกราฟที่สูงขึ้นในทุกปี เฉลี่ยแล้วไม่ต่ำกว่า 10 บาท/ลูก สวนทางกับพืชเศรษฐกิจชนิดอื่น เกษตรกรหลายรายเริ่มโค่นสวนยางพาราและสวนปาล์มหันมาปลูกมะพร้าวแทน เพราะมะพร้าวสามารถขายได้ทุกส่วนของผลผลิต ทั้งยังเป็นสินค้าบริโภคที่รัฐบาลให้การสนับสนุน คาดว่าอีกประมาณ 5 ปีในอนาคต มีแนวโน้มจะเข้ามาแทนที่การทำสวนยางพาราหรือสวนปาล์มได้ และจะกลายมาเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ
ปัจจุบันราคามะพร้าวแก่ที่นำมาทำกะทิราคา 21-22 บาท/ลูก มะพร้าวน้ำหอมราคาประมาณ 7 บาท/ลูก ถือว่าราคาดีตามฤดูกาล ทั้งนี้เกษตรกรเริ่มหันมาปลูกมะพร้าวเพิ่มขึ้นหลายหมื่นไร่ทั่วประเทศ หรือประมาณ 20% ต่อปี นับตั้งแต่ปี 2558 มาจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากการส่งออกยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะมะพร้าวที่นำมาทำเป็นกะทิเพื่อส่งออก ประเทศไทยต้องนำเข้าจากประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และเมียนมา ตลอดทั้งปีตั้งแต่ปี 2559 กว่า 50% ซึ่งประเทศเหล่านี้มีส่วนแบ่งการตลาดกับประเทศไทยพอสมควร ขณะที่ประเทศไทยปลูกมะพร้าวเป็นอันดับ 6 ของโลกแต่ได้รับการยอมรับด้านคุณภาพและความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคมากกว่า
“ปัจจุบันเวียดนามและอินโดนีเซียเริ่มหันมาทำกะทิส่งออกเอง แต่ยังไม่มียอดขายมากนัก เพราะผู้บริโภคเชื่อมั่นผลผลิตจากประเทศไทยมากกว่า และประเทศไทยเองกลับมีโรงงานแปรรูปไม่เพียงพอต่อผลผลิต ถึงกระนั้นมะพร้าวน้ำหอมของประเทศไทยยังคงคุณภาพ 100% และเป็นผู้ส่งออกเบอร์ 1 ของโลก ยากที่ประเทศคู่แข่งจะเทียบได้” นายวนิชย์กล่าว
ทั้งนี้ การปลูกมะพร้าวแก่เพื่อทำกะทิใช้เวลาปลูกประมาณ 5 ปีกว่าจะได้ผลผลิตเดือนละ 1 ครั้ง เฉลี่ยต้นละ 8 ผล/เดือน ส่วนมะพร้าวน้ำหอมจะใช้ระยะเวลาสั้นกว่าประมาณ 3 ปี และให้ผลผลิตประมาณ 15 ผล/ปี เป็นพืชที่ตายยาก อายุเฉลี่ยประมาณ 40 ปี หรือมากกว่านั้นก็ยังคงให้ผลผลิตต่อเนื่อง โดยใน 1 ไร่ เกษตรกรจะปลูกประมาณ 20 ต้น ส่วนปัญหาในการปลูกมีเพียงภัยแล้ง และโรคหนอนเล็กน้อย
ด้านนายพินิจ เจริญเร็ว เกษตรจังหวัดราชบุรี เปิดเผยว่า มะพร้าวน้ำหอมของประเทศไทยจากราชบุรียังคงคุณภาพนับเป็นอันดับหนึ่งของโลก มีตัวเลขที่เกษตรกรขึ้นทะเบียนประมาณ 4.3 หมื่นไร่ หากเป็นมะพร้าวแก่รวมกันทั้งหมดประมาณ 6 หมื่นไร่ แม้ในความเป็นจริงพื้นที่ปลูกที่เกษตรกรไม่ได้ลงทะเบียนมากกว่านั้น โดยมีประเทศจีนเป็นตลาดใหญ่ของการส่งออก ถัดมาจะเป็นยุโรป และอเมริกา ขณะที่การส่งออกและการแปรรูปเพื่อการส่งออกมีมูลค่าประมาณหลักพันล้านขึ้นไป แต่ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดเกี่ยวกับตัวเลขดังกล่าว แนวโน้มในปี 2561 จะมีราคาสูงขึ้นตามฤดูกาล โดยเฉพาะหน้าแล้งราคาพุ่งขึ้นถึงลูกละ 30 บาท
โดยจังหวัดราชบุรีมะพร้าวน้ำหอมส่วนใหญ่เป็นมะพร้าวน้ำหอมพันธุ์ก้นจีบ หนึ่งต้นจะให้ผลผลิตเฉลี่ย 12-15 ทะลาย/ปี ประมาณ 10 ลูก/1 ทะลาย มีประมาณ 45 ต้น/ไร่ ราคาต่ำสุดจะอยู่ที่ 7 บาท/ลูก นอกจากนี้ยังมีลูกมะพร้าวน้ำหอมที่นำไปเพาะพันธุ์เป็นต้นกล้าสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรสูงมากเช่นเดียวกัน เพราะมียอดการสั่งจองล่วงหน้า 5-6 เดือน ราคาต้นละ 80-100 บาท
ขณะที่นายณรงค์ศักดิ์ ชื่นสุชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น ซี โคโคนัท จำกัด ผู้ส่งออกมะพร้าวน้ำหอม กล่าวว่า ราคามะพร้าวน้ำหอมของไทยมีความสมดุลในตลาด มีผลผลิตเข้าสู่ตลาดประมาณ 1 ล้านลูกต่อวัน และมีตลาดจีนมารองรับ ส่วนผลผลิตที่ไม่ผ่านมาตรฐาน ก็มีกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปมารองรับ ส่วนคู่แข่งอย่างประเทศเวียดนามเริ่มเข้าไปแข่งกับประเทศไทยที่ตลาดอเมริกามากขึ้น ขณะที่ตลาดจีนยังไม่ยอมรับผลผลิตจากเวียดนามมากเท่าไร ซึ่งในปี 2561 ประเทศไทยจะยังคงเป็นผู้นำในการส่งออกมะพร้าวน้ำหอมอยู่ ทั้งด้านคุณภาพ รสชาติ และปริมาณ มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่มีล้นตลาดแน่นอน แต่ต้องรักษาคุณภาพ และป้องกันไม่ให้มะพร้าวพันธุ์ก้นจีบออกจากเมืองไทย
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #143 เมื่อ:
พฤศจิกายน 01, 2017, 11:02:39 PM »
ยางราคาดิ่งต่อเนื่อง สหกรณ์แปรรูปยางสุราษฎร์บอยคอตไม่ร่วมงานประชุม กยท.
วันที่ 31 ตุลาคม 2560 - 15:58 น.
แฟ้มภาพ
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม การประมูลซื้อขายยางพาราที่ตลาดกลางยางพาราทั้ง 3 แห่งในภาคใต้ ปรากฏว่า ราคาตกหมดทุกแห่ง โดยราคาประมูลยางแผ่นดิบที่ตลาดกลางหาดใหญ่ (สงขลา) ได้ราคา 44.38 บาท/กก. ลดลง 0.52บาท/กก. ผู้ชนะประมูล ร้านหนองขรีการยาง ปริมาณยาง 23,955 ก.ก. ที่ตลาดกลางสุราษฎร์ธานี ได้ราคา 44.58 บาท/กก. ลดลง 0.63บาท/กก. ผู้ชนะประมูล ร้านหนองขรีการยาง ปริมาณยาง 14,300 ก.ก.และที่ตลาดกลางนครศรีธรรมราช (จันดี) ได้ราคา 44.58 บาท/กก.ลดลง 0.63บาท/กก. ผู้ชนะประมูล ร้านหนองขรีการยาง ปริมาณยาง 15,200 กก.ส่วนราคาน้ำยางสด ณ โรงงานพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา 43.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงาน ส่วนราคายางแผ่นดิบคุณภาพ 3 ที่โรงงานและในท้องถิ่นที่ จ.สงขลา ราคา 43.1 บาท/กก. ลดลง 0.70 บาท/กก. เศษยาง 37 บาท/กก. ลดลง 0.5 บาท/กก. และที่ จ.สุราษฏร์ธานี ราคา 43 บาท/กก.ลดลง 0.50 บาท/กก. เศษยาง 37 บาท ส่วนที่ จ.นครศรีธรรมราช ราคา 43.4 บาท/กก. ลดลง 0.40 บาท/กก. เศษยาง 37.1 บาท น้ำยางสด 41.2บาท/กก. เพิ่มขึ้น 0.10 บาท
นายวุฒิ รักษ์ทอง ตัวแทนสหกรณ์พ่วงพรมคร อ.เคียนซา จ.สุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 พ.ย.นี้ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) จะเชิญผู้นำสถาบันเกษตรกร 40 แห่งทั่วประเทศที่แปรรูปและพัฒนาผลผลิตยางพารา ไปประชุมเชิงปฎิบัติการ หัวข้อสร้างตลาดผลิตภัณฑ์แปรรูปยางพาราพัฒนาสู่การส่งออก ที่ จ.กระบี่ ซึ่งเครือข่ายสหกรณ์ในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะสหกรณ์จาก จ.สุราษฎร์ธานี จะไม่ไปร่วม เนื่องจากเห็นว่า กยท.มีความล้มเหลวในการบริหารงาน และมีผู้บริหารระดับรองผู้ว่าการฯคนหนึ่งไม่ผ่านการประเมิน
นายวุฒิกล่าวว่า ภายหลังมีการลงขันเงินทุนจาก 5 บริษัทยักษ์ใหญ่ส่งออกยางพารา เพื่อจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเข้าไปประมูลยางพาราในตลาดกลาง แต่กลับทำให้ตลาดยางปั่นป่วนโดยล่าสุดที่ตลาดกลางหาดใหญ่ไม่สามารถเปิดตลาดได้ เนื่องจากมียางแผ่นดิบที่บริษัทร่วมทุนประมูลได้แล้วไม่นำยางออกจากตลาด มีปริมาณกว่า 700 ตัน จึงเรียกร้องให้ กยท. เร่งนำยางออกจากตลาดให้หมดภายในวันที่ 15 พ.ย.นี้ หากทำไม่ได้เราจะดำเนินการขั้นต่อไป
“ถ้าจะอ้างว่าราคายางขึ้นอยู่กับกลไกตลาดก็คงไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินภาษีให้กับผู้บริหาร กยท. และให้ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตลาด เพราะทำงานบริหารเหมือนรับใช้นายทุน และหลงทางผิดตั้งแต่ให้มีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน ซึ่งแทนที่จะช่วยดันราคาตลาด แต่กลับเหมือนไล่ต้อนเกษตรกรสวนยางให้ไปอยู่ใต้อำนาจนายทุน ซึ่ง กยท.น่าจะสำนึกได้ว่า เงินเดือน เบี้ยเลี้ยงที่มีกินใช้อยู่ทุกวันมาจากภาษีของเกษตรกรไม่ใช่นายทุน” นายวุฒิกล่าว
นายวุฒิกล่าวและว่า ที่ผ่านมา กยท.ไม่ได้สนใจส่งเสริมกิจกรรมเพื่อความมั่นคงด้านราคา โดยรัฐบาลและ คสช.เข้ามาบริหารและมีนโยบายแก้ไขปัญหาราคายางพาราโดยส่งเสริมให้สถาบันเกษตรกรดำเนินการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพาราใช้งบกว่า 2,000 ล้านบาท และให้สหกรณ์ลงทุนสร้างโรงงาน แต่ถึงขณะนี้ผลผลิตที่แปรรูปของสถาบันเกษตรกรไม่สามารถจำหน่ายได้จนไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ จึงเชื่อว่างบกว่า 2,000 ล้านบาทเป็นการลงทุนสูญเปล่าและเครื่องจักรที่สหกรณ์ถูกปล่อยไว้เป็นอนุสาวรีย์
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #144 เมื่อ:
พฤศจิกายน 03, 2017, 11:42:11 PM »
เศรษฐกิจในประเทศ
น้ำท่วมกระทบเกษตรกรกว่า 1.8 แสนราย ปลูกข้าวเสียหายล้านไร่
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2560 - 14:29 น.
รายงานข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แจ้งว่า จากการตรวจสอบข้อมูล ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2560 ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย จำนวน 23 จังหวัด ได้แก่ พะเยา พิจิตร เพชรบูรณ์ สุโขทัย นครสวรรค์ พิษณุโลก ยโสธร ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ ศรีสะเกษ มหาสารคาม อุบลราชธานี ขอนแก่น กาฬสินธุ์ เลย หนองบัวลำภู ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา อุทัยธานี และสุพรรณบุรี โดยกระทบเกษตรกรรวม 182,885 ราย ได้แก่ ด้านพืช ได้รับผลกระทบ 35 จังหวัด เกษตรกร 162,258 ราย พื้นที่ 1.45 ล้านไร่ แบ่งเป็น ข้าว 1.07 ล้านไร่ พืชไร่ 0.34 ล้านไร่ พืชสวนและอื่นๆ 0.04 ล้านไร่ ด้านประมง ได้รับผลกระทบ 22 จังหวัด เกษตรกร 10,463 ราย พื้นที่บ่อปลา 12,318 ไร่ กระชัง 3,478 ตร.ม. ด้านปศุสัตว์ ได้รับผลกระทบ 16 จังหวัด เกษตรกร 10,164 ราย สัตว์ได้รับผลกระทบ 325,404 ตัว แบ่งเป็น โคกระบือ 26,037 ตัว สุกร 11,592 ตัว แพะแกะ 5,144 ตัว สัตว์ปีก 287,690 ตัว แปลงหญ้า 460 ไร่
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับการให้ความช่วยเหลือระยะเร่งด่วน ได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ 272 เครื่อง ในพื้นที่ 13 จังหวัด สุโขทัย 10 เครื่อง กาฬสินธุ์ 8 เครื่อง ขอนแก่น18 เครื่อง มหาสารคาม 38 เครื่อง นครสวรรค์ 10 เครื่อง สุพรรณบุรี 10 เครื่อง อ่างทอง 4 เครื่อง ชัยนาท 9 เครื่อง สิงห์บุรี 29 เครื่อง อุทัยธานี 4 เครื่อง พระนครศรีอยุธยา 87 เครื่อง ปทุมธานี 14 เครื่อง และนนทบุรี 31 เครื่อง แจกจ่ายพืชอาหารสัตว์ 240,190 กิโลกรัม แร่ธาตุและเวชภัณฑ์ 22,492 ชุด รวมทั้งดูแลสุขภาพสัตว์ 6,948 ตัว ในพื้นที่ 12 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย สุโขทัย อุทัยธานี กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยนาท สุพรรณบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา และร้อยเอ็ด
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #145 เมื่อ:
พฤศจิกายน 05, 2017, 07:56:35 PM »
เศรษฐกิจในประเทศ
สัญญาณบวกเศรษฐกิจไทย รัฐบาลเหยียบคันเร่ง…ทุกเครื่องยนต์
วันที่ 5 พฤศจิกายน 2560 - 00:03 น.
ช่วงนี้เศรษฐกิจไทยมีข่าวดีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง นอกจากทุกสำนักพยากรณ์เศรษฐกิจจะพาเหรดปรับประมาณการอัตราขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจของไทยปี 2560 ดีขึ้นแล้ว
ล่าสุดในการแถลงผลการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ ประจำปี 2561 หรือเรียกว่า “Doing Business 2018” ทางธนาคารโลกได้ขยับอันดับของประเทศไทยเพิ่มขึ้นพรวดเดียวถึง 20 อันดับ จาก 46 มาอยู่ที่ 26 โดยมีคะแนนรวม 77.44 เพิ่มจากปีก่อนหน้าที่อยู่ที่ 72.53
ธนาคารโลกระบุถึง “การพัฒนาที่โดดเด่น” ทั้งในส่วนการลดระยะเวลาการจัดตั้งธุรกิจ/ยกเลิกการประทับตราบริษัทในหุ้น, ลดขั้นตอนการขอใช้ไฟฟ้า, การออกกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจใหม่, การเพิ่มสิทธิผู้ลงทุนรายย่อยทำให้ฟ้องร้องได้ง่ายขึ้น/สร้างความชัดเจนของโครงสร้างการบริหารระหว่างความเป็นเจ้าของกับการควบคุม/กำกับบริษัท รวมถึงระบบการตรวจสอบภาษีโดยใช้โปรแกรมบริหารความเสี่ยงมาคัดเลือกบริษัทที่มีความเสี่ยงสูง/ลดอัตราภาษีการโอนทรัพย์สิน, การใช้ระบบยื่นฟ้องทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ และการปรับแก้กฎหมายล้มละลายเพื่อเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูง่ายขึ้น
ปลุกเชื่อมั่นนักลงทุนไทย-เทศ
“สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แม้ว่าการจัดอันดับเรื่องนี้จะเป็นเหมือนการ “แจกข้อสอบล่วงหน้า” หากตั้งใจทำจริงจังก็ต้องดีขึ้น ซึ่งรัฐบาลกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปรับปรุงทุก ๆ 2 เดือน และสิ่งสำคัญคือเรื่องการสื่อความกับธนาคารโลก โดยเชิญผู้ใหญ่ของธนาคารโลกมารับฟังเป็นครั้งคราวว่าประเทศไทยทำอะไรไปถึงไหน และให้เขามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาด้วย
“ผลการจัดอันดับที่ดีขึ้นมากของไทย จะช่วยให้นักลงทุนต่างประเทศตัดสินใจเข้ามาลงทุนมากขึ้น หากอันดับไม่ดี นักลงทุนก็จะไปลงทุนประเทศอื่นแทน เพราะในกลุ่มประเทศอาเซียนก็แข่งขันกันสูงมาก โดยอันดับของอินโดนีเซียและเวียดนาม ก็ขยับขึ้นมารวดเร็วมาก ขณะที่มาเลเซียยังดีกว่าไทย 2 อันดับ เราก็ต้องพยายามพัฒนาต่อไป ซึ่งไม่เฉพาะต่างประเทศ นักลงทุนในประเทศก็ได้ประโยชน์จากตรงนี้เต็ม ๆ และที่สำคัญชาวบ้านที่จะขอติดตั้งไฟฟ้า น้ำประปา ขอแบบก่อสร้าง จะง่ายขึ้นมาก ฉะนั้นทุกฝ่ายจะได้อานิสงส์หมด จะทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้นว่าการปฏิรูปเริ่มเห็นผล” นายสมคิดกล่าว
นายกานต์ ตระกูลฮุน อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย ในฐานะประธานโครงการสานพลังประชารัฐ กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังจากที่รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ ทำให้ขณะนี้เริ่มออกผล เช่น การปรับอันดับการทำธุรกิจของธนาคารโลกในครั้งนี้ ก็เป็นผลจากที่รัฐบาลทำมาช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตอนนี้สัญญาณเศรษฐกิจไทยอยู่ในทิศทางที่ดีทุก ๆ ด้าน นักลงทุนต่างชาติก็มีความเชื่อมั่นมากขึ้น ตัวเลขส่งออกก็ดี ขณะที่ภาครัฐก็ยังเป็นตัวนำการลงทุน จากที่ 3 ปีก่อน เครื่องยนต์แต่ละตัวแทบจะดับ การส่งออกก็ติดลบ แต่ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มกลับมา ภาคเอกชนก็จะเริ่มกลับมาลงทุน ซึ่งจะทำให้การจ้างงานดีขึ้นตามมา
รัฐบาลสปีดทุกเครื่องยนต์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สัญญาณเศรษฐกิจเริ่มขยับ รัฐบาลก็เร่งเครื่องทุกเครื่องยนต์ ทั้งการกระตุ้นการจับจ่ายภายในประเทศ จากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิจารณาหาแนวทางรายละเอียดโครงการ “ช้อปช่วยชาติ” ให้ประชาชนนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้า และมาหักลดหย่อนภาษี ซึ่งโครงการนี้ทำมาทุกปี ปีนี้จะต้องรัดกุมขึ้น และทำให้ยาวกว่าเดิมได้หรือไม่ เพื่อกระตุ้นการใช้เงินหมุนเวียนมากขึ้น
รวมถึงการลงทุนของภาครัฐที่ยังเป็นหัวหอกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเมื่อวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา นายสมคิด ได้ไปประชุมติดตามการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคม ซึ่งระบุว่ามีผลดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ตามแผนปฏิบัติการเร่งด่วน (action plan) 2560 ที่คืบหน้าเป็นอย่างมาก สามารถเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีสูงกว่าเป้า 90% โดยจะมีเบิกจ่ายงบประมาณปีนี้อีก 1.16 ล้านล้านบาท และปีงบประมาณ 2561 จำนวน 8 แสนล้านบาท ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวดีขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุนในประเทศ
เร่งแผนลงทุน 51 โครงการปี”61
“ในช่วง 1 ปีนับจากนี้ ต้องการให้งานโครงสร้างพื้นฐานของคมนาคมมีความคืบหน้าต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรืออีอีซี เป็นลำดับแรก โดยเฉพาะรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา ส่วนการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 รถไฟทางคู่ ให้เร่งเป็นรูปธรรมภายในสิ้นปี 2560-2561”
พร้อมให้เร่งรัดลงทุนรถไฟทางคู่ที่ประมูลไปแล้ว 5 เส้นทาง และเฟส 2 ที่จะเปิดประมูลตามแผนงาน ส่วนรถไฟไทย-จีนช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา น่าจะเริ่มสร้างปลายเดือน พ.ย.หรือต้น ธ.ค.นี้ และได้สั่งให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เร่งพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางใน 4 จังหวัด เพื่อแก้ปัญหารถติดและส่งเสริมการท่องเที่ยว ได้แก่ ภูเก็ต ขอนแก่น นครราชสีมา และเชียงใหม่ โดยเฉพาะภูเก็ตให้เร่งสร้างในปี 2561 ทั้งให้ศึกษาเพิ่มที่จังหวัดอุดรธานีและพิษณุโลก
นอกจากนี้ได้สั่งการให้ 3 หน่วยงานหลักด้านการบิน คือ กรมท่าอากาศยาน สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) และ บมจ.ท่าอากาศยานไทยหรือ ทอท. เร่งพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการสนามบินในภูมิภาค 28 แห่ง ให้ได้ข้อสรุปภายใน พ.ย.นี้ และปีหน้าจะเริ่มเปิดขายหน่วยกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFF) สร้างทางด่วนสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนตะวันตก
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ปัจจุบันคมนาคมได้จัดทำแผนลงทุนเร่งด่วนปี 2561 มี 51 โครงการ วงเงินลงทุน 2.39 ล้านล้านบาท แยกเป็นโครงการต่อเนื่องปี 2559-2560 จำนวน 43 โครงการ วงเงิน 2.29 ล้านล้านบาท และโครงการใหม่ปี 2561 จำนวน 8 โครงการ วงเงิน 1.03 แสนล้านบาท ได้แก่ ส่วนต่อขยายโทลล์เวย์รังสิต-บางปะอิน, มอเตอร์เวย์กรุงเทพฯ-มหาชัย, โครงการท่าเรือบก, พัฒนาสนามบินกระบี่และขอนแก่น, ระบบขนส่งมวลชนทางราง จ.ขอนแก่น นครราชสีมา และเชียงใหม่
สัญญาณบวกดันจีดีพีปี”61
ขณะที่ นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตัวเลขเศรษฐกิจในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ดีขึ้นทุกตัวจากเดือนก่อนหน้า และช่วงเดียวกันปีก่อน ทำให้ประเมินว่าไตรมาส 3 จีดีพีจะโตมากกว่า 4% จากที่ครึ่งปีแรกเติบโตเฉลี่ย 3.5% ซึ่งมาจากการขยายตัวของภาคการส่งออกเป็นหลัก โดย 9 เดือนแรกส่งออกขยายตัวที่ 9.1% จึงมีโอกาสที่ ธปท.จะปรับประมาณการตัวเลขส่งออกอีก ขณะที่จีดีพีปีนี้มีโอกาสโตมากกว่าที่คาด 3.8%
เช่นเดียวกับ นายสุวิชญ โรจนวาณิช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า สศค.ได้ปรับประมาณการอัตราขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจปี 2560 คาดว่าจะขยายตัว 3.8%โดยมีแรงสนับสนุนหลักจากการส่งออกสินค้าและบริการที่ดีขึ้น
ส่วนปี 2561 คาดว่าเศรษฐกิจจะโตต่อเนื่องที่ 3.8% โดยการใช้จ่ายภาครัฐจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ รวมถึงความชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ และกระตุ้นการลงทุนให้เพิ่มมากขึ้น ขณะที่การลงทุนเอกชนคาดว่าโต 3.4% ส่วนการส่งออกคาดว่าจะโต 5.7%
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #146 เมื่อ:
พฤศจิกายน 05, 2017, 07:57:00 PM »
ตลาดยางป่วนราคาดิ่งเหว สารพัดมาตรการรัฐล้มเหลว
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2560 - 23:48 น.
ราคายางส่อเค้าป่วนอีก บอร์ดบริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศไม่ยอมลงมติจำกัดส่งออกยาง 4 ประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ อ้างขอดูสถานการณ์เพิ่มเติมอีก สารพัดมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรล้มเหลว ดันราคายางไม่ขึ้น
แหล่งข่าวจากการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เมื่อวันที่ 3 พ.ย.60 คณะกรรมการบริหาร บริษัท ร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ จำกัด (IRCo) ได้ประชุมเรื่องการจำกัดปริมาณการส่งออกยางพาราของทั้ง 4 ประเทศ คือ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ที่มีปริมาณการผลิตยางพาราสูงถึง 73% ของผลผลิตทั่วโลก เป็นวาระเร่งด่วน เนื่องจากขณะนี้ราคายางแผ่นรมควันอัดก้อนเข้าถึงจุดเส้นตายที่เคยตกลงในที่ประชุมรัฐมนตรีสภาไตรภาคียางระหว่างประเทศ (ITRC) 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซียและมาเลเซีย ที่ประชุมไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ โรงแรมแชงกรี-ลา กำหนดให้สมาชิกต้องจำกัดปริมาณการส่งออกที่ กก.ละ 1.5 เหรียญสหรัฐ ซึ่งราคาซื้อขายยางแผ่นรมควันชั้น 3 ของไทยผ่านตลาดกลางยางพาราในภาคใต้ เมื่อวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา อยู่ที่ กก.ละ 46 บาทเศษ
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า การประชุมในประเด็นการจำกัดปริมาณการส่งออกยางของคณะกรรมการบริหารบริษัท IRCo ล่าสุดยังไม่มีการตกลงในรายละเอียดว่าจะจำกัดปริมาณการส่งออกแต่ละประเทศเท่าใด และจะเริ่มเวลาไหน โดยขอเวลาพิจารณาดูสถานการณ์ยางเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย
“ประเด็นการจำกัดส่งออกยางของ 4 ประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ได้รั่วไหลออกไป ทำให้นักเก็งกำไรซื้อขายยางในตลาดซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้หยุดทุบราคา และดันราคารับซื้อในวันที่ 1-2 พ.ย.ที่ผ่านมาเพิ่มอีกตันละ 600 หยวน แต่ราคาประมูลยางแผ่นรมควันชั้น 3 ในไทย ช่วงวันที่ 31 ต.ค.-2 พ.ย. 2560 กลับลดลงจาก กก.ละ 51 บาทเศษ เหลือ กก.ละ 46 บาทเศษ เพราะมีผู้ส่งออกจำนวนมากที่ไปขายล่วงหน้าไว้ในราคาต่ำฉวยโอกาสกดราคารับซื้อ ทำให้ กยท.ต้องเข้าไปประมูลในวันที่ 2 พ.ย.แทน เพื่อมิให้ราคายางตกลงไปมากกว่านี้ หลังจากที่เกษตรกรบางกลุ่มเรียกร้องให้ บริษัท ร่วมทุนยางพาราไทย จำกัด ที่ กยท.ร่วมทุนกับ 5 บริษัทผู้ส่งออกยางพารารายใหญ่ วงเงินรวม 1,200 ล้านบาทหยุดรับซื้อในราคาชี้นำผ่านตลาดกลางยางพาราทั้ง 6 แห่งทั่วประเทศ” แหล่งข่าวกล่าว
5 มาตรการดันราคายางไม่ขึ้น
ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า ในปีงบประมาณ 2560 ที่ผ่านมา รัฐบาลมีนโยบายและมาตรการในการส่งเสริมสนับสนุนแก่ทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและพัฒนาอาชีพการทำสวนยาง ตลอดจนเพิ่มมูลค่าการใช้ยางให้มากยิ่งขึ้น เพื่อกระตุ้นความต้องการใช้ และส่งผลต่อราคายางในที่สุด
ได้แก่ 1.โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง สิ้นสุดโครงการเดือน ก.ย. 2560 เนื่องจากราคายางต่ำกว่าต้นทุนการผลิตที่ กก.ละ 63 บาทเศษ ซึ่ง กยท.ได้จ่ายเงินแก่เกษตรกรสวนยางเป็นเงิน 6,436 ล้านบาท จำนวน 7.15 แสนครัวเรือน และจ่ายเงินแก่เกษตรกรคนกรีดยาง 4,094 ล้านบาทจำนวน 6.78 แสนครัวเรือน 2.โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพารา 3.โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการกิจการยาง(น้ำยางข้น) 1 หมื่นล้านบาท โดยรัฐชดเชยดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 3 ต่อปี 4.โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการกิจการยาง(ยางแห้ง) วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ มาตรการดึงหน่วยงานรัฐจัดซื้อยางใช้ในประเทศ กยท.ได้สรุปตัวเลขแล้ว พบว่าการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ ปี 2560 แบ่งเป็นมีความต้องการใช้น้ำยางข้น ปี 2560 จำนวน 22,321 ตัน และปริมาณการใช้ยางแห้ง 2,953.16 ตัน รวมทุกงบประมาณทั้งสิ้น 16,925 ล้านบาทแต่มีการใช้น้ำยางข้นจริงในปี 2560 จำนวน10,213.49 ตัน ใช้ยางแห้งจริงปี 2560จำนวน 1,453.48 ตัน งบประมาณรวมทั้งสิ้น 15,074 ล้านบาท สำหรับปี 2561 ปริมาณความต้องการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ เป็นน้ำยางข้น 9,916.832 ตัน น้ำยางแห้ง 1,132.39 ตัน รวมงบประมาณทั้งสิ้น 11,589 ล้านบาท
หนุนใช้ยางพาราสร้างถนน
ด้าน นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า กรมได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การศึกษาวิจัยและพัฒนา ร่วมกับกยท. เพื่อส่งเสริมการใช้ยางพาราภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น ตามที่รัฐบาลตั้งเป้าจำนวน 9,000 ตันต่อปี ในการบูรณะซ่อมแซมผิวถนนในรูปแบบพาราสลาลี่ซีล และพาราแอสฟัลต์ คิดเป็น 5% ของงานก่อสร้างถนน แต่เนื่องจากต้นทุนสูงจึงหารือกับ กยท.เปลี่ยนยางพาราน้ำเป็นยางพาราแผ่นมาพัฒนาใช้กับเสาหลักนำทาง ที่กั้นขอบทาง ทางเท้า และหลักกิโลเมตรแทน ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการแก้ไขราคายางให้มีเสถียรภาพ
“ปี 2561 เตรียมแผนใช้ปริมาณน้ำยางพาราข้น 4,586 ตัน ในการบูรณะซ่อมแซมผิวถนน และนำมาใช้ในก่อสร้างเสาหลักนำทาง เบื้องต้นที่ทำได้เร็ว คือ เสาหลักนำทางประมาณ 15 กิโลเมตรใช้ยางพารา 1 ต้น งบฯในการจัดซื้อยางจากงบฯเหลือจ่ายไม่เกิน 500 ล้านบาท ตั้งเป้าปี 2561 ใช้ประมาณ 120,000-130,000 ต้นทั่วประเทศ ต้นทุนต่อต้นประมาณ 2,600-2,700 บาท แม้ว่าต้นทุนยางพาราจะแพงกว่า แต่สามารถช่วยรับซื้อยางจากเกษตรกรได้มากกว่าเดิม” นายธานินทร์กล่าว
นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันใช้ยางพาราบูรณะซ่อมแซมถนนอย่างเดียว ยังไม่ได้นำไปใช้กับผลิตภัณฑ์อื่น โดยในปี 2561 ตั้งเป้าใช้น้ำยางพาราฉาบผิวถนนเป็นยางดิบ 7,530 ตันยางข้น 3,756 ตัน คิดเป็นวงเงิน 391 ล้านบาท (กิโลกรัมละ 52 บาท) ขณะที่ปี 2560 ใช้ยางดิบ 7,172 ตัน ยางข้น 3,586 ตัน คิดเป็นวงเงิน 358 ล้านบาท (กิโลกรัมละ 50 บาท)
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #147 เมื่อ:
พฤศจิกายน 05, 2017, 07:57:25 PM »
คิงส์เกตขอตั้ง อนุญาโตตุลาการ บีบไทยจ่ายชดเชย 1,400 ล้านเหรียญ
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2560 - 23:33 น.
ในที่สุด บริษัทคิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด เจ้าของเหมืองแร่ทองคำชาตรีในนาม บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) เนื้อที่ 1,549 ไร่ ในจังหวัดเพชรบูรณ์ และ 2,176ไร่ ในจังหวัดพิจิตร ก็ตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการแก้ปัญหาข้อพิพาทกับรัฐบาลไทย ด้วยการขอตั้ง “คณะอนุญาโตตุลาการ” ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (Thailand-Australia Free Trade Agreement หรือTAFTA) เพื่อขอ “ชดเชย” ความเสียหายจากการสั่งปิดเหมืองทองของรัฐบาลไทย
โดย นายรอส สมิธ-เคิร์ก ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทำหนังสือแจ้งตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลียว่า ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่กับรัฐบาลไทยแล้ว แต่ไม่สามารถหาข้อยุติกรณีเหมืองแร่ทองคำชาตรี ถูกสั่งระงับการประกอบกิจการ “โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
ในประเด็นนี้ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส ซึ่งเป็นบริษัทลูกของคิงส์เกตฯ ตั้งขึ้นภายใต้ TAFTA อธิบายมาตลอดว่า รัฐบาลไทย (คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากการทำเหมืองทองคำของบริษัทอัคราฯ) ไม่สามารถระบุได้ว่า “โลหะหนักและสารหนูที่ตรวจพบในปริมาณที่สูงจนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนนั้น เกิดจากการทำเหมืองแร่ทองคำของบริษัทอัคราฯ”
ส่งผลให้การออกคำสั่งที่ 72/2559 อาศัยอำนาจตาม ม. 44 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2559 มีคำสั่งให้ “ระงับ” การอนุญาตให้สำรวจและทำเหมืองทองคำ การต่ออายุประทานบัตร การต่อใบอนุญาตประกอบโลหกรรมแร่ทองคำ การประกอบการเหมืองแร่ทองคำหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกับการทำเหมืองแร่ทองคำ ต้องยุติลงอย่างสิ้นเชิงหลังวันที่ 1 มกราคม 2560 นั้น
เป็นสิ่งที่บริษัทคิงส์เกตฯ “ยอมรับไม่ได้” เนื่องจากประทานบัตรของบริษัทอัคราฯ มีอายุจนถึงเดือนมิถุนายน 2563 และเดือนกรกฎาคม 2571 หรืออีก 11 ปี โดยบริษัทเห็นว่า การได้ประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำและโรงโลหกรรมแร่ เป็นไปอย่างถูกต้องตามเงื่อนไขของรัฐบาลไทย (พ.ร.บ.แร่) มาตั้งแต่ต้น ประกอบกับบริษัทยังได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และไม่ได้กระทำผิดตามเงื่อนไขการได้รับประทานบัตร เนื่องจากไม่มีข้อพิสูจน์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ได้ว่า โลหะหนักและสารหนูที่ตกค้างอยู่ในพื้นที่นั้นมาจากการทำเหมืองหรือไม่
อย่างไรก็ตาม บริษัทคิงส์เกตฯได้เปิดการเจรจากับรัฐบาลไทยภายใต้ คณะกรรมการดำเนินการระงับข้อพิพาท มาแล้วถึง 2 รอบ หลังวันที่ 1 มกราคม 2560 “แต่ก็ไม่สามารถหาข้อยุติได้” โดยบริษัทได้เรียกร้อง 1) หลักประกันในการที่บริษัทจะกลับเข้ามาประกอบการเหมืองแร่ทองคำใน “ระยะยาว” ต่อไป 2) การต่อใบอนุญาตประกอบโลหกรรม
3) การ “ชดเชย” ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการถูกสั่งให้ “ระงับ” การทำเหมืองทองคำ
ในประเด็นเหล่านี้ดูเหมือนว่า การชดเชย “ความเสียหาย” ที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่สามารถตกลงกันได้มากที่สุด โดยประเด็นนี้มองได้ 2 นัย คือ 1) บริษัทอัคราฯสามารถกลับมาดำเนินการทำเหมืองได้อีกครั้งในระยะยาว “ค่าเสียหาย” รัฐบาลไทยจะจ่ายให้อาจจะ “ไม่มากนัก” เพราะบริษัทเพิ่งหยุดทำเหมืองไปได้ยังไม่ถึง 1 ปี กับ 2) บริษัทคิงส์เกตฯในฐานะบริษัทแม่ ไม่ต้องการลงทุนทำเหมืองทองคำชาตรีในประเทศไทยต่อไปอีกแล้ว จากความไม่มีหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติของรัฐบาลไทยที่เพียงอ้างถ้อยคำแค่ “เพื่อประโยชน์ของสังคมและส่วนรวม และแก้ปัญหาความแตกแยกของประชาชนในชุมชน” ก็สามารถปิดเหมืองทองคำที่บริษัทลงทุนไปแล้วเป็นจำนวนมากได้
และยิ่งบริษัทคิงส์เกตฯตัดสินใจขอใช้กระบวนการตัดสินข้อพิพาท ด้วยการตั้ง “คณะอนุญาโตตุลาการ” ขึ้นมาแล้ว ยิ่งพิสูจน์การให้ “น้ำหนัก” ในเรื่องการขอชดเชย “ค่าเสียหาย” จำนวนมหาศาล จากการปิดเหมืองเป็นการถาวร หรือ “เลิกลงทุน” ทำเหมืองทองคำในประเทศไทยมากกว่า
ค่าเสียหายที่คิงส์เกตฯ จะเรียกร้องจากรัฐบาลไทยในครั้งนี้ หากคำนวณจากรายได้และยอดขายทองคำในแต่ละปีของบริษัทจำนวน 6,000 ล้านบาท บวกกับระยะเวลาประทานบัตรที่เหลืออยู่อีก 11 ปี และจำนวนแร่ทองคำที่ยังคงฝังอยู่ใต้ดินอีกไม่ต่ำกว่า 40 ตันแล้ว ประมาณการคร่าว ๆ ตัวเลขค่าเสียหาย “อาจจะ” สูงเป็น 2 เท่าของการเจรจาสองรอบแรก (เดิม 700 ล้านเหรียญสหรัฐ) เป็น 1,400 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 46,200 ล้านบาท (ใกล้เคียงกับยอดขายทองคำในแต่ละปี+จำนวนแร่ที่ยังเหลืออยู่+ระยะเวลาประทานบัตรประมาณ 48,000 ล้านบาท)
ปัญหาที่จะตามมาในอนาคต คือ หาก”คิงส์เกตฯ” เป็นฝ่ายชนะคดีข้อพิพาทในคณะอนุญาโตตุลาการ แล้ว “ใคร” จะเป็นผู้รับผิดชอบการจ่ายรายการนี้ ?
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #148 เมื่อ:
พฤศจิกายน 05, 2017, 07:57:49 PM »
ยกระดับบริการรัฐ…ต้องทำต่อเนื่อง
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2560 - 22:33 น.
ผลการจัดอันดับความยากง่ายในการทำธุรกิจ หรือ Doing Business 2018 ของธนาคารโลก ให้ไทยได้อันดับที่ 26 เทียบกับปีที่ผ่านมาอยู่อันดับ 46 จาก 190 ประเทศทั่วโลก โดยได้คะแนนรวม 77.44 คะแนน สูงกว่าปีก่อนที่ได้ 72.53 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน
ชี้ให้เห็นว่าผ่านไป 1 ปี การปรับแก้ไขกฎกติกา การปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน ลดกระบวนการขั้นตอนในการพิจารณาอนุญาต อนุมัติ จดแจ้ง จดทะเบียน ฯลฯ เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ เริ่มเห็นผล ผู้ประกอบธุรกิจ นักลงทุน ที่ติดต่อขอใช้บริการหน่วยงานรัฐได้รับการบริการสะดวกรวดเร็วขึ้น
ส่งผลให้อันดับความยากง่าย หรือความสะดวกในการทำธุรกิจในไทย ขยับขึ้นรวดเดียว 20 อันดับ และเมื่อเทียบกับ 10 ชาติในอาเซียน ไทยเป็นรองแค่สิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งได้อันดับ 2 และ 24 ตามลำดับ
พิจารณาในรายละเอียดจาก 10 ดัชนีที่ใช้เป็นตัวชี้วัดครั้งนี้ ไทยได้คะแนนดีขึ้น 6 ด้าน คือ การเริ่มต้นธุรกิจ การขอใช้ไฟฟ้า การได้รับสินเชื่อ การคุ้มครองผู้ลงทุนเสียงข้างน้อย การชำระภาษี และการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลง ที่ได้คะแนนลดลง ได้แก่ การขออนุญาตก่อสร้าง การค้าระหว่างประเทศ การแก้ไขปัญหาล้มละลาย ขณะที่การจดทะเบียนทรัพย์สินได้คะแนนเท่าเดิม
ถือว่าการผนึกกำลังร่วมกันทำงาน ระหว่างทีมเศรษฐกิจรัฐบาลกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา มีผลงานเป็นที่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม ภารกิจต่อจากนี้ไปอาจยากยิ่งกว่าเพราะหากต้องการจะรักษามาตรฐานการทำงาน ยกระดับการบริการหน่วยงานรัฐไต่อันดับขึ้นเป็นประเทศที่สะดวกในการทำธุรกิจมากกว่านี้ จำเป็นต้องทำงานหนักและได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพิ่มขึ้นอีก
ขณะเดียวกันก็ต้องแข่งขันกับเพื่อนบ้านในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ทั้งอินโดนีเซีย เวียดนาม บรูไน ฯลฯ ที่ต่างปรับระบบ ยกระดับมาตรฐานบริการหน่วยงานรัฐจูงใจต่างชาติลงทุน เท่ากับต้องแข่งทั้งกับตัวเองและแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่เวลานี้ล้วนต้องการไต่อันดับ Doing Business ดึงดูดการลงทุน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจภายในประเทศ
สำคัญที่สุดคือการดำเนินการดังกล่าวต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกสบาย และลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจ เพราะถ้าทำได้และเกิดผลในทางปฏิบัติเป็นรูปธรรม นอกจากนักลงทุนหน้าใหม่จะสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยแล้ว กลุ่มที่ลงทุนอยู่ขณะนี้ก็คงไม่คิดจะย้ายฐานหนีไปไหน
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #149 เมื่อ:
พฤศจิกายน 05, 2017, 07:58:11 PM »
“นครชัยแอร์” เผยแผนเตรียมรับการเดินทางของประชาชน ช่วงเทศกาลปีใหม่
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2560 - 19:06 น.
นางเครือวัลย์ วงศ์รักมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นครชัยแอร์ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงเดือนธันวาคมนี้เป็นเดือนที่เข้าสู่เทศกาลส่งปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา และเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆเป็นจำนวนมาก นครชัยแอร์เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเดินทางของผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ จึงได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีประชาชนเดินทาง เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ในช่วงเทศกาลวันรัฐธรรมนูญ และในช่วงเทศกาลปีใหม่ ทั้งนี้ บริษัทฯได้จัดเตรียมความพร้อมในส่วนของเที่ยวรถที่ให้บริการ และจัดเตรียมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดตลอด 24 ชม. รวมทั้งพัฒนาช่องทางอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารในการซื้อตั๋วโดยสารผ่านแอพพลิเคชั่น “NCA Mobile”เพื่อให้ได้รับความสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงการซื้อตั๋วโดยสารได้ง่าย พบว่ามีลูกค้านิยมใช้บริการเพิ่มมากขึ้น
นางเครือวัลย์ ยังกล่าวต่อไปว่า นครชัยแอร์ มีความพร้อมอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้กับประชาชนในการเดินทางด้วยรถโดยสาร บริษัทฯ ได้จัดเตรียมสถานที่รับส่งผู้โดยสาร ณ สถานีเดินรถนครชัยแอร์ กรุงเทพฯ (ถ.กำแพงเพชร 2) แทนสถานีขนส่งผู้โดยสารหมอชิตแห่งที่ 2 เพื่อลดความแออัดทั้งด้านการจราจรและประชาชนที่ไปใช้บริการ เพื่อเป็นการแบ่งเบาความหนาแน่นของการจราจรในช่วงเทศกาลปีใหม่พร้อมทั้งจัดคิวรถ Taxi, รถตู้เชื่อมต่อไปยังที่ต่างๆ เป็นการอำนวยความสะดวกของลูกค้าอีกทาง ซึ่งนครชัยแอร์มีเจ้าหน้าที่ศูนย์ควบคุมการเดินรถคอยอำนวยความสะดวกตลอด 24 ชั่วโมง คอยแจ้งข่าวและความเคลื่อนไหวของสภาพจราจร พร้อมทั้งควบคุมการขับขี่ของพนักงานขับรถผ่านระบบ GPS ที่เชื่อมต่อกับข้อมูลของศูนย์บริหารจัดการเดินรถของกรมการขนส่งทางบก สามารถติดตามข้อมูลการเดินรถ การใช้ความเร็วของรถ ชั่วโมงการขับขี่ของพนักงานขับรถ และพิกัดรถ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการป้องกัน และการลดอุบัติเหตุของนครชัยแอร์
บันทึกการเข้า
พิมพ์
หน้า:
1
...
4
5
[
6
]
7
8
9
ขึ้นบน
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
Music Massage by Pong: นวดประกอบเพลงโดยพงษ์
»
Members' Forum
»
มุมทั่วไป มุมความรู้ เคล็ดลับต่างๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ
(ผู้ดูแล:
admin
) »
อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
Calendar
พฤษภาคม 2025
อา.
จ.
อ.
พ.
พฤ.
ศ.
ส.
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
[15]
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
- Birthdays -
Non (36)
- Today's Events -
❌18.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌20.00(Booked)
- Today's Events -
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌20.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌18.00(Booked)
- Birthdays -
KristinRew (46)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌18.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Birthdays -
psyimisp (41)
- Today's Events -
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌14.00(Booked)
❌12.00(Booked)
- Birthdays -
Spoiyz (35)
- Today's Events -
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌18.00(Booked)
❌20.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌12.00(Booked)
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
❌14.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌12.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌14.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌18.00(Booked)
❌20.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌18.00(Booked)
❌20.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
- Today's Events -
❌18.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌20.00(Booked)
❌14.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌18.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌14.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌18.00(Booked)
❌20.00(Booked)
✅12.00(Free)
❌14.00(Booked)
- Birthdays -
komsanbang4 (31)
- Today's Events -
❌12.00(Booked)
❌20.00(Booked)
❌14.00(Booked)
✅18.00(Free)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Birthdays -
Rinrin_lim (39)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
✅14.00(Free)
❌12.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Birthdays -
023mike (63)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌14.00(Booked)
✅12.00(Free)
✅18.00(Free)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌18.00(Booked)
✅12.00(Free)
✅14.00(Free)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌20.00(Booked)
- Today's Events -
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
✅12.00(Free)
No calendar events were found.