ถ้าพูดถึงค่าใช้จ่ายภายในบ้าน หลายคนถึงขั้นต้องเอามือก่ายหน้าผากกันเลยใช่ไหมคะ ? ไหนจะค่าที่อยู่อาศัย ค่าอาหารการกิน ค่าน้ำ และที่สำคัญเลย นั่นก็คือ ค่าไฟ เพราะในชีวิตประจำวันเราต้องพึ่งพาไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นที่มาที่ทำให้ยอดค่าไฟสูงจนน่าปวดหัว ฉะนั้นการเลือกใช้หลอดไฟจึงเป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายภายในบ้าน โดยวิธีการเลือกให้คุ้มค่าและเหมาะสมกับการใช้งานภายในบ้านกันค่ะ
1. เลือกจากอายุการใช้งานที่ยาวนาน
สิ่งของทุกอย่างต่างก็มีอายุการใช้งานที่จำกัด หลอดไฟก็เช่นกัน แต่เมื่อยุคสมัยที่เปลี่ยนไป หลอดไฟก็ถูกพัฒนามาเรื่อย ๆ ทั้งที่มีฟังก์ชั่นการใช้งานหลากหลาย แถมยังใช้งานได้ยาวนานอีกต่างหาก แล้วเราจะทนใช้หลอดไฟแบบเก่า ๆ ให้สิ้นเปลืองไปทำไม
หากจะมองหาหลอดไฟที่ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องคิดคำนวณอะไรให้ยุ่งยาก แค่เลือกใช้หลอด LED รับรองคุ้มค่าคุ้มราคากับเงินเสียไป เพราะหลอดไฟชนิดนี้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าหลอดไฟชนิดอื่น ๆ และยังกินไฟน้อยอีกต่างหาก
2. เลือกจากค่าความถูกต้องของสี
ค่าความถูกต้องของสี (Color Rendering Index) หรือ CRI คือค่าวัดความถูกต้องของแสงสว่าง ซึ่งมีค่าตั้งแต่ 0-100 โดยหลอดไฟที่ดีควรจะให้แสงที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติหรือแสงอาทิตย์มากที่สุด ถ้าหากเราเลือกหลอดไฟที่มีค่าความถูกต้องสีผิด ก็อาจจะทำให้เกิดการรับรู้ที่ผิดพลาดได้ เช่น การรับรู้สีของเสื้อผ้าต่างออกไปจากตอนที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ๆ หรือตัดสินใจใช้สีในผลงานศิลปะผิดไปก็เป็นได้ ดังนั้นหลอดไฟที่เลือกมาใช้ในบ้าน ควรมีค่าความถูกต้องของสีหรือค่า CRI ให้อยู่ในระดับ 70-90 เพราะให้สีใกล้เคียงกับธรรมชาติและสมจริงมากที่สุด
3. เลือกระดับความสว่างให้เหมาะกับพื้นที่
การตกแต่งแสงไฟภายในบ้าน ไม่จำเป็นจะต้องใช้ไฟชนิดเดียวกันหมด เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณเกินความจำเป็น เนื่องจากบางจุดต้องการแสงสว่างน้อย เช่นเดียวกันบางจุดก็ต้องการแสงสว่างที่มากเพียงพอต่อการใช้งาน
ซึ่งต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนว่า พื้นที่ไหนเหมาะสมและต้องการระดับความสว่างแบบใด อย่างเช่น พื้นที่ที่เน้นการตกแต่งเพื่อความสวยงาม และพื้นที่เน้นการปรับเปลี่ยนอารมณ์นั้น ต้องเลือกใช้หลอดไฟที่สบายตา แต่ถ้าหากเป็นพื้นที่ที่ใช้ทำงานก็ต้องเลือกใช้หลอดไฟที่ให้แสงหลัก สามารถสามารถมองเห็นวัตถุได้อย่างชัดเจน ซึ่งในปัจจุบันมีหลอดไฟให้เลือกใช้ที่มีทั้งให้แสงที่สบายตาและเห็นได้อย่างชัดเจนในหลอดเดียวกันด้วย
4. เลือกระดับความสว่างให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์
เพราะไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง จึงทำให้ระดับความสว่างนั้นสำคัญ บางวันเราก็อยากอ่านหนังสือใต้แสงไฟที่สว่างสดใส มองเห็นตัวหนังสือได้อย่างชัดเจน แต่บางวันกลับอยากสร้างบรรยากาศให้ดูนุ่มนวล ๆ เพื่อปรับเปลี่ยนไปตามอารมณ์ แต่จะให้ติดตั้งอุปกรณ์หรือสวิตช์ไฟเพิ่ม ก็คงจะสิ้นเปลืองไม่ใช่น้อย ดังนั้นเราควรจะเลือกหลอดไฟให้เหมาะกับการใช้ชีวิตมากที่สุด เช่น หลอดไฟที่สามารถปรับความสว่างได้ 3 ระดับในหลอดเดียว หรือหลอดไฟที่สามารถเปลี่ยนโทนสีได้ทั้งแสงขาวและแสงเหลืองได้ในหลอดเดียวกัน
5. เลือกที่รูปทรงเหมาะกับการตกแต่ง
รูปทรงของหลอดไฟก็มีผลต่อการใช้งานเช่นเดียวกัน ถ้าพื้นที่นั้นต้องการแสงสว่างที่สม่ำเสมอ อย่างเช่น ห้องรับแขก ห้องทำงาน ห้องครัว และห้องน้ำ แต่ดันไปเลือกหลอดไฟรูปทรงที่ไม่เหมาะสมมาใช้ก็จะทำให้แสงกระจายได้ไม่เพียงพอ เลยต้องติดตั้งไฟเพิ่มให้เปลืองค่าไฟ เช่น หลอดไฟแอลอีดีทรงกลม ที่สามารถกระจายแสงในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึง ปราศจากความร้อน และรังสี UV ที่ทำให้เฟอร์นิเจอร์เสียหายก่อนกำหนดอีกด้วย
6. เลือกแบบที่หรี่ไฟได้
หากจะต้องนำของเก่าอย่างหลอดไส้มาใช้ใหม่ เพื่อให้ได้ความสว่างในสไตล์คลาสสิกอย่างที่ต้องการ ก็อาจต้องเสียเงินเพื่อติดอุปกรณ์ช่วยเพิ่มเติม แถมผลลัพธ์ที่ได้ก็อาจไม่คุ้มค่ากับจำนวนเม็ดเงินที่เสียไป
ฉะนั้นอาจจะเลือกหลอดไฟที่มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่สามารหรี่ไฟได้ เพื่อให้สามารถปรับแสงได้ในระดับที่ต้องการ ทั้งแบบสว่างสดใสหรือแสงนวล ๆ ดูโรแมนติก หรือบิวท์บรรยากาศเก่า ๆ ให้ดูคลาสสิก เข้ากับอารมณ์หรือการตกแต่ง ก็ได้ด้วยหลอดเดียว
7. เลือกจากโทนสี ที่ปรับตามอารมณ์ได้
จะแต่งบ้านทั้งทีก็ต้องเลือกโทนสีหลอดไฟให้เหมาะสมกับพื้นที่ใช้งาน ซึ่งเรื่องเหล่านี้แลดูเป็นเรื่องยากที่เราไม่สามารถจะตัดสินใจได้ เพราะบางครั้งเราก็อยากได้บรรยากาศที่หลากหลายภายในพื้นที่เดียว จะดีกว่าไหมหากเลือกหลอดไฟที่กินไฟน้อย มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และปรับได้ 2 โทนสีทั้งสีขาวคูลเดย์ ไลท์ หรือสีเหลือง วอร์ม ไวท์ แถมยังใช้คู่กับสวิทช์ไฟอันเดิมที่บ้านมีอยู่ได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนสวิชต์ให้ยุ่งยากอีกต่างหาก
บริหารจัดการอาคาร: เทคนิคเลือกหลอดไฟให้คุ้มค่า เหมาะกับการใช้งานในยุคประหยัด อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://snss.co.th/dt_post/technical-services/