Music Massage by Pong: นวดประกอบเพลงโดยพงษ์
ยินดีต้อนรับคุณ,
บุคคลทั่วไป
กรุณา
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว:
หน้าแรก
ช่วยเหลือ
ค้นหา
ปฏิทิน
Recent Topics
สมาชิก
View the memberlist
ค้นหาผู้ใช้
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
Like stats
Music Massage by Pong: นวดประกอบเพลงโดยพงษ์
»
Members' Forum
»
มุมทั่วไป มุมความรู้ เคล็ดลับต่างๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ
(ผู้ดูแล:
admin
) »
อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
หน้า:
1
...
5
6
[
7
]
8
9
ลงล่าง
ผู้เขียน
หัวข้อ: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ (อ่าน 9565 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #150 เมื่อ:
พฤศจิกายน 07, 2017, 09:24:31 PM »
เช็กด่วนก่อนซื้อเเหลก! เงื่อนไข “ช้อปช่วยชาติ 2017” ใช้อย่างไรให้คุ้ม อะไรลดหย่อนภาษีได้-ไม่ได้ ?
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 - 19:30 น.
ปลุกมู้ดจับจ่าย กระตุ้นจีดีพี ขาช้อบปลายปีใจเต้นกันระนาว หลังวันนี้ ครม.ประกาศไฟเขียว “ช้อปช่วยชาติ 2017” จัดเต็มยาวนานกว่าทุกปีถึง 23 วัน ตั้งเเต่วันที่ 11 พ.ย. จนถึง 3 ธ.ค. นี้
หลายคนคงสงสัย จะมีสินค้าหรือบริการอะไรบ้างที่นำไปลดหย่อนภาษีได้ และวิธีการขอลดหย่อนภาษีเขาทำกันอย่างไร ใครบ้างจะได้รับสิทธิประโยชน์นี้ “ประชาชาติธุรกิจออนไลน์” นำสิ่ง “ต้องรู้” กับมาตรการช้อปช่วยชาติ มาฝากกันเเบบทันใจ
โดย “ช้อปช่วยชาติ” เป็นมาตรการที่ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปีที่ประชาชนสามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท
แม้กระทรวงการคลัง ประเมินว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้มีภาษีที่ต้องสูญเสียประมาณ 2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีผู้ใช้สิทธิลดหย่อนเป็นมูลค่าราว 15,000 ล้านบาท สูญเสียรายได้ภาษีราว 1,800 ล้านบาทแต่ก็จะช่วยเพิ่มยอดขายสินค้าหรือการให้บริการแก่ผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม คาดว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นราว 0.05% ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า “ช้อปช่วยชาติ” ตลอด 23 วัน มีคนใช้สิทธิลดหย่อนภาษีราว 2.25 หมื่นล้านบาท
จากข้อมูลระบุว่า มาตรการช้อปช่วยชาติปลายปี 2559 ที่ผ่านมา สามารถจัดเก็บภาษี VAT เดือน ม.ค. 2560 อยู่ที่ 245,244 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ม.ค. 2559 รวม 3,688 ล้านบาท หรือ 1.5% ขณะที่เดือน ธ.ค. 2559 เก็บภาษี VAT ได้ 61,589 ล้านบาท ต่ำกว่าเดือน ธ.ค. 2558 ราว 644 ล้านบาท หรือ 1%
โดยรัฐบาลใช้มาตรการช็อปช่วยชาติกระตุ้นเศรษฐกิจมาแล้ว 2 ครั้ง มีการดำเนินการครั้งแรกช่วงปลายปี 2558 เป็นเวลารวม 7 วัน ระหว่างวันที่ 25-31 ธ.ค.2558 และต่อมาในปี 2559 มีการเพิ่มระยะเวลาเป็น 18 วัน ระหว่างวันที่ 14-31 ธ.ค.2559 และครั้งนี้ปี 2560 คือครั้งที่ 3 เพิ่มระยะเวลาเป็น 23 วัน ระหว่างวันที่ 11 พ.ย. – 3 ธ.ค. 2560
ใครใช้ได้บ้าง?
ประชาชนที่ซื้อสินค้าและบริการที่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% โดยต้องนำใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบที่ได้จากห้างร้านที่จดทะเบียน VAT กับกรมสรรพากร มาลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งสามารถใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุดปีละไม่เกิน 15,000 บาท
ทั้งนี้ ผู้ที่มีเงินได้ต่อปีรวมไม่ถึง 150,000 บาท ไม่ต้องไปรอคิวให้เสียเวลา เพราะอยู่ในเกณฑ์ยกเว้นภาษีอยู่แล้ว
เงื่อนไขการใช้สิทธิ “ช้อปช่วยชาติ”
คุณต้องซื้อสินค้าหรือบริการที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 11 พฤศจิกายน ถึง 3 ธันวาคม 2560 โดยต้องเป็นสินค้าหรือบริการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% อยู่แล้ว ไม่เป็นสินค้าหรือบริการที่ต้องห้ามไม่ได้รับสิทธิลดหย่อน โดยซื้อกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมต้องได้รับใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปแบบ ไม่สามารถใช้สลิปใบเสร็จหรือใบกำกับภาษีอย่างย่อได้
สินค้าและบริการที่สามารถลดหย่อนภาษีได้…มีอะไรบ้าง ?
-ค่าซื้อสินค้าจากร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้า
-ค่าซื้อสินค้าจากร้านค้า duty free
-ค่าอาหารและเครื่องดื่มในร้านอาหารและโรงแรมที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
-ค่าศัลยกรรมกับสถานเสริมความงามที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
-ค่าซื้ออุปกรณ์ตกแต่งรถ อะไหล่รถยนต์
-ค่าซื้ออุปกรณ์ตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า
-ค่าบริการทำสปา นวดหน้า
-ค่าตั๋วหนัง
-ค่าซ่อมรถ ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 11 พ.ย. – 3 ธ.ค. 2560
-ค่าบริการเทรดหุ้น ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 11 พ.ย. – 3 ธ.ค. 2560
-ค่าตั๋วเครื่องบินที่บินในประเทศ ของสายการบินที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มระหว่างวันที่ 11 พ.ย. – 3 ธ.ค. 2560โดยต้องซื้อและบินภายในช่วงเวลามาตรการเท่านั้น
สินค้าและบริการ…อะไรที่ใช้ไม่ได้บ้าง?
สินค้าหรือบริการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้ว เช่น ผักสด ของสด หนังสือ ทองคำแท่ง สุรา เบียร์ ไวน์ ยาสูบ น้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เรือ ค่าที่พักและโรงแรม ค่านำเที่ยว มัคคุเทศก์ การรับบริการจากสถานพยาบาลและซื้อบัตรของขวัญห้างสรรพสินค้า เป็นต้น
ทั้งนี้ การซื้อทองรูปพรรณ สามารถนํามาหักลดหย่อนภาษีได้เฉพาะค่ากำเหน็จหรือค่าบริการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น ส่วนทองคำแท่ง ไม่สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้
อ้างอิงจากข้อมูล ปี2559
ขอใบกำกับภาษีอย่างไร ต้องใช้หลักฐานอะไรบ้าง ใช้ยื่นภาษีได้ถึงเมื่อไหร่?
เบื้องต้นต้องสอบถามทางร้านและผู้ประกอบการ ว่าจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ โดยผู้ซื้อสินค้าสามารถแจ้งกับพนักงานที่เราไปใช้บริการได้ โดยระบุว่า “ขอใบกำกับภาษีในนามบุคคล” พร้อมยื่นบัตรประชาชนเพื่อให้พนักงานกรอกข้อมูล
ส่วนการขอลดหย่อนภาษีจากมาตรการ “ช้อปช่วยชาติ” ต้องใช้ใบกํากับภาษีแบบเต็มรูปแบบตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร จะมีรายละเอียดที่สำคัญ ดังนี้
-ต้องมีคำว่า “ใบกำกับภาษี” อย่างชัดเจน
-ต้องมีชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของร้านค้า
-ต้องมีชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวประชาชนของผู้ซื้อ
-หมายเลขของใบกำกับภาษี (ถ้ามี)
-ต้องมีชื่อ ชนิด ประเภท ปริมาณ และมูลค่าของสินค้าหรือบริการ
-ต้องมีจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่ม
-ต้องมีวัน เดือน ปี ที่ออกใบกำกับภาษี
-ข้อความอื่นๆ (ถ้ามี)
โดยเราจะใช้ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบที่ได้ มาทำการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2560 ซึ่งสามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษีได้ตั้งแต่เดือน ม.ค. – มี.ค. 2561
สำหรับใบกำกับภาษีที่ไม่สมบูรณ์ เช่น เขียนชื่อหรือที่อยู่ผู้ซื้อสินค้าผิด หรือมีการเเก้ไข จะสามารถนำมาใช้หักลดหย่อนได้หรือไม่ กรมสรรพกร ระบุว่า หากใบกำกับภาษีนั้นมีรายการครบถ้วนตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร เเม้จะมีการเขียนชื่อ หรือที่อยู่ผู้ซื้อสินค้าผิด หรือมีการเเก้ไขข้อความก็สามารถใช้หักลดหย่อนได้
ขณะที่ในกรณีใบกำกับภาษี มีทั้งรายการสินค้าเเละบริการ ที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มเเละไม่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม จะหักลดหย่อนอย่างไรนั้น ผู้ซื้อสามารถนำใบกำกับภาษีดังกล่าวมาลดหย่อนได้ โดยจะให้เฉพาะค่าสินค้าเเละบริการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น
รู้ขั้นตอน-ข้อมูลครบถ้วนเเบบนี้ ก็ถึงเวลาเตรียมพร้อมเงินในประเป๋า เเล้วก้าวไปช้อปกันเลย…
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #151 เมื่อ:
พฤศจิกายน 07, 2017, 09:27:00 PM »
อ.ส.ค. จับมือ 56 สหกรณ์ ซื้อขายน้ำนมดิบ เล็งหารือโคนมวังน้ำเย็นขยายช่องทางแปรรูปนมวัวแดง
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 - 18:09 น.
อ.ส.ค. จับมือ 56 สหกรณ์ ลงนาม MOU ซื้อขายน้ำนมดิบ ปี 2560/61 รวมกว่า 623.67 ตัน สร้างความเชื่อมั่นเกษตรกรสมาชิกในพื้นที่ส่งเสริม 4,332 ราย มีแหล่งรองรับผลผลิตน้ำนมดิบแน่นอน ได้ราคาเป็นธรรม 19-20 บาท/กก. ตัดปัญหานมล้นตลาด-ราคาตกต่ำ
นายณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เปิดเผยว่า อ.ส.ค. ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงหรือเอ็มโอยู (MOU) ซื้อขายน้ำนมดิบ ปี 2560/61 กับสหกรณ์โคนมและศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบในเขตพื้นที่ส่งเสริมของ อ.ส.ค. ทุกภูมิภาคจำนวน 56 แห่ง ปริมาณน้ำนมดิบรวม 623.67 ตัน/วัน แยกเป็น พื้นที่ภาคกลาง จำนวน 19 สหกรณ์ น้ำนมดิบ 313.251ตัน/วัน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 สหกรณ์ น้ำนมดิบ 126.093 ตัน/วัน ภาคใต้ 8 สหกรณ์ น้ำนมดิบ 76.515ตัน/วัน ภาคเหนือตอนบน (เชียงใหม่) 3 สหกรณ์ น้ำนมดิบ 16.58ตัน/วัน และภาคเหนือตอนล่าง (สุโขทัย) จำนวน 16 สหกรณ์ ปริมาณน้ำนมดิบที่ MOU 91.227 ตัน/วัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ประมาณ 6-7%
ทั้งนี้ เพื่อยกระดับคุณภาพน้ำนมดิบของเกษตรกรสมาชิกกว่า 4,332 ราย ให้ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัยตามเกณฑ์ที่กำหนดป้อนเข้าสู่โรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับสหกรณ์โคนม ศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบ และผู้เลี้ยงโคนมในพื้นที่ส่งเสริมของ อ.ส.ค. ว่ามีแหล่งรองรับผลผลิตน้ำนมดิบที่แน่นอน ได้รับราคาที่เป็นธรรม และตัดปัญหานมดิบล้นตลาดและราคาตกต่ำด้วย
“กำลังการผลิตน้ำนมดิบของสหกรณ์โคนมและเกษตรกรสมาชิกในพื้นที่ส่งเสริมของ อ.ส.ค. มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมบริหารจัดการเพื่อรองรับสถานการณ์และปริมาณน้ำนมดิบส่วนเกิน เพื่อป้องกันไม่ให้กระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม รวมถึงไลน์ผลิตของโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค อาทิ การปรับปรุงเครื่องจักรและโรงงานนม อ.ส.ค. มวกเหล็ก ขอนแก่น ประจวบคีรีขันธ์ เชียงใหม่ และสุโขทัย ซึ่งขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นทั้งในส่วนผลิตภัณฑ์นม ยู.เอช.ที. และผลิตภัณฑ์นมเย็น และการลงนามบันทึกข้อตกลง MOU ซื้อขายน้ำนมโคระหว่าง อ.ส.ค. และสหกรณ์โคนม ถือเป็นหนึ่งกลไกที่ อ.ส.ค. ได้เตรียมแผนบริหารจัดการน้ำนมดิบล่วงหน้า นอกจากจะได้น้ำนมดิบที่มีคุณภาพมาตรฐานตามหลักเกณฑ์ซื้อขายที่กำหนดแล้ว เกษตรกรสมาชิกยังได้รับราคาที่เป็นธรรม เฉลี่ยอยู่ที่ 19-20 บาท/กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับเกรดหรือคุณภาพน้ำนมดิบของเกษตรกรแต่ละราย”
ขณะเดียวกัน อ.ส.ค.ยังได้เตรียมหารือเพื่อร่วมดำเนินธุรกิจกับสหกรณ์โคนมรายใหญ่ที่มีศักยภาพ อาทิ สหกรณ์โคนมวังน้ำเย็น จำกัด สหกรณ์ไทยมิลค์ จำกัด และสหกรณ์โคนมมวกเหล็ก จำกัด เพื่อขยายพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มเติมจากเดิมที่ อ.ส.ค.ได้ร่วมมือกับสหกรณ์โคนมพัทลุง จำกัด ไปก่อนหน้านี้ โดยเครือข่ายสหกรณ์พันธมิตรจะมีบทบาทร่วมกันในการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม การใช้ประโยชน์เครื่องจักรและโรงงานนมของสหกรณ์พันธมิตรในการแปรรูปผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์ค กรณีที่โรงงานนมของอ.ส.ค. ไม่สามารถผลิตได้ทันต่อความต้องการ รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน และช่วยรองรับปริมาณน้ำนมดิบส่วนเกินในอนาคต นายณรงค์ฤทธิ์กล่าว
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #152 เมื่อ:
พฤศจิกายน 07, 2017, 09:27:24 PM »
ปตท.-บางจากฯ ขึ้นราคาน้ำมันทุกชนิด 60 สต. เว้น E85 ขึ้น 40 สต. ดีเซลคงเดิม มีผลพรุ่งนี้ตีห้า!
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 - 17:42 น.
ปตท. ปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ 60 สตางค์/ลิตร (เว้น E85 ปรับขึ้น 40 สตางค์/ลิตร) ดีเซลคงเดิม มีผลพรุ่งนี้ (8 พ.ย. 60) เวลา 05.00 น. ราคาใหม่เป็นดังนี้
เบนซิน 95 ลิตรละ 35.36 บาท
แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 28.25 บาท
แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 27.98 บาท
E20 ลิตรละ 25.74 บาท
E85 ลิตรละ 20.84 บาท
ดีเซล ลิตรละ 26.39 บาท
(ราคานี้ยังไม่รวมภาษีท้องที่ของแต่ละจังหวัด)
เวลา 05.00 น. บางจากฯ ปรับราคาน้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล์ทุกชนิด +60 สต. ยกเว้น E85 +40 ส.ต. สำหรับกลุ่มดีเซลราคาคงเดิม // >> BCP Retail Price: GSH95=28.30 // GSH91=28.03 // E20=25.79 // E85=20.89 // Diesel=26.44 // Hi Premium Diesel S = 30.12 (ราคาดังกล่าวรวมภาษีบำรุงท้องที่ กทม. แล้ว)
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #153 เมื่อ:
พฤศจิกายน 07, 2017, 09:27:48 PM »
เปิดประมูลแหล่งบงกช-เอราวัณ ด้วยรูปแบบ PSC ธ.ค.นี้
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 - 14:33 น.
กรมเชื้อเพลิงฯเตรียมเปิดประมูลแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมเอราวัณ-บงกช คาดกระบวนการเริ่มเดินหน้าธ.ค.นี้ ล่าสุดลงพื้นที่แหล่งผลิตปิโตรเลียมวิเชียรบุรี เช็กระบบความพร้อม CNG Mobile
นายวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยถึง การเปิดประมูลสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 2 แหล่ง คือ เอราวัณและบงกช ที่จะหมดอายุในปี 2565-2566 ว่าความคืบหน้าขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอร่างการกำหนดขอบเขตและเงื่อนไขการเปิดประมูลทีโออาร์ (TOR) แบบแบ่งปันผลผลิตพีเอสซี (PSC) ให้ พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพิจารณา ก่อนนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อประกาศเป็นทีโออาร์เพื่อเปิดประมูลแหล่งสัมปทานหมดอายุทั้ง 2 แหล่ง โดยคาดว่ากระบวนการจะเริ่มได้ภายในเดือนธันวาคมนี้ โดยจะใช้ระยะเวลา 7 เดือน จึงจะสามารถประกาศผู้ชนะการประมูลทั้งสองแหล่งในช่วงกลางปี 2561
ปัจจุบันมีเอกชนสนใจเข้าร่วมประมูลหลายราย โดยเฉพาะจากปัจจัยราคาน้ำมันดิบที่มีการปรับตัวสูงขึ้น ทำให้การเข้าร่วมประมูลของผู้ประกอบการในครั้งนี้ มีความน่าสนใจมากขึ้น ทั้งผู้ประกอบการไทยและต่างชาติหลายประเทศ โดยขณะนี้มีผู้สนใจประมูลหลายรายอยู่ระหว่างขอดูความชัดเจน ทีโออาร์ 2 แหล่ง ซึ่งทางกรมฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสมของรูปแบบการให้สัมปทาน หลังจากนั้นโดยจะพิจารณาด้านคุณสมบัติและด้านเทคนิคต่อไป
ล่าสุด กรมเชื้อเพลิงฯ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมแหล่งสํารวจและผลิตปิโตรเลียมแหล่งวิเชียรบุรี อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ และโครงการติดตั้งเครื่องผลิต-อัดก๊าซธรรมชาติ ที่จําเป็นต้องเผาทิ้งเพื่อเป็นเชื้อเพลิงรถยนต์แบบเคลื่อนย้ายได้ (CNG Mobile) ระหว่างวันที่ 4–5 พฤศจิกายน 2560 ว่ปัจจุบันแหล่งวิเชียรบุรี เป็นแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมบนบก ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ดำเนินการโดยกลุ่มบริษัท อิโค่ โอเรียนท์ สำหรับบริษัท อีโค่ โอเรียนท์ รีซอสเซส (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ได้รับสัมปทานปิโตรเลียมใน 2 แปลงด้วยกัน ได้แก่ แปลงสำรวจหมายเลข L44/43 ซึ่งมีกำลังการผลิตน้ำมันดิบ 953.76 บาร์เรลต่อวัน และก๊าซธรรมชาติ 0.53 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และแปลงสำรวจหมายเลข L33/43 ซึ่งมีกำลังการผลิตน้ำมันดิบ 21.54 บาร์เรลต่อวัน และก๊าซธรรมชาติ 0.002 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยบริษัทยังคงรักษาระดับการผลิตปิโตรเลียมได้ไปจนถึงการสิ้นสุดอายุสัมปทาน ในปี 2575
สำหรับปริมาณการผลิตน้ำมันดิบโดยรวมของแหล่งผลิตดังกล่าว ประกอบด้วย แหล่งแหล่งนาสนุ่นตะวันออก บ่อรังเหนือ วิเชียรบุรีส่วนขยาย วิเชียรบุรีส่วนขยายตะวันออก ท่าโรงตะวันออก และท่าโรงเหนือ จะมีระบบแยกสถานะที่ถังแยกสถานะ (Separator) ให้ได้น้ำมันดิบเพื่อนำไปจำหน่ายให้กับโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ส่วนของก๊าซธรรมชาติ ที่ปะปนอยู่ในน้ำมันดิบ จะถูกนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในกระบวนการผลิตในบางส่วน และส่วนที่เหลือจะมีการเผาทิ้งเพื่อความปลอดภัย สำหรับน้ำที่แยกได้จากกระบวนการผลิตจะอัดกลับเข้าสู่หลุมผลิตใต้ดิน โดยจะไม่มีการปล่อยของเสียออกสู่ภายนอกสู่พื้นที่สาธารณะ
นายวีระศักดิ์กล่าวว่า สำหรับโครงการติดตั้งเครื่องผลิต-อัดก๊าซธรรมชาติที่จำเป็นต้องเผาทิ้ง เพื่อเป็นเชื้อเพลิงรถยนต์แบบเคลื่อนย้ายได้ (CNG Mobile) นั้น จะมีการนำก๊าซธรรมชาติที่ได้จากการกระบวนการผลิตน้ำมันดิบที่จำเป็นต้องเผาทิ้งมาใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรม และการขนส่ง โดยจะมีการติดตั้งที่หลุมผลิตหลัก WBEXT-2AST2 และหลุม WBEXT-2BST2 (หลุมสนับสนุนการผลิต) ซึ่งจะผ่านกระบวนการแยกของเหลวออก แล้วก๊าซจะไหลผ่านมาตรวัดอัตราการไหล (Metering) เพื่อวัดปริมาณในการซื้อขายก๊าซธรรมชาติก่อนส่งเข้ากระบวนการอัดก๊าซธรรมชาติของบริษัท SCAN INTER และบรรจุก๊าซส่งไปยังโรงงานอุตสาหกรรมหรือปั๊มก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือ NGV ต่อไป ซึ่งในกรณีที่ไม่สามารถส่งก๊าซธรรมชาติให้กับบริษัท SCAN INTER ได้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตจะทำการสลับวาล์วเพื่อเปลี่ยนเส้นทางการส่งก๊าซธรรมชาติไปยังจุดเผาทิ้งFlare ก่อนการปิดวาล์วที่หัวหลุมผลิตเพื่อความปลอดภัย
สำหรับการใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติที่จำเป็นต้องเผาทิ้ง กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเคยดำเนินการมาแล้วหลายโครงการ คือ โครงการนำก๊าซธรรมชาติที่จำเป็นต้องเผาทิ้งจากแหล่งน้ำมันดิบหนองตูม จังหวัดสุโขทัย มาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ตำบลหนองตูม และมาใช้ผลิตก๊าซ LNG เพื่อจำหน่าย โครงการนำก๊าซธรรมชาติที่จำเป็นต้องเผาทิ้งจากแหล่งน้ำมันดิบเสาเถียรและแหล่งน้ำมันดิบประดู่เฒ่า จังหวัดสุโขทัย มาผลิตกระแสไฟฟ้าในชุมชน และสำหรับโครงการติดตั้งเครื่องผลิต-อัดก๊าซธรรมชาติที่จำเป็นต้องเผาทิ้ง เพื่อเป็นเชื้อเพลิงรถยนต์แบบเคลื่อนย้ายได้ (CNG Mobile) ก็เป็นอีกโครงการหนึ่งที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติมีการดำเนินการเพื่อให้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติสูงสุด
“กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขการให้สัมปทาน และระเบียบด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อดูแลรักษาผลประโยชน์ของประเทศแล้ว ยังมีการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการนำก๊าซธรรมชาติไปใช้ประโยชน์แทนการเผาหรือปล่อยทิ้ง เพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการประกอบกิจการปิโตรเลียมอีกด้วย” นายวีระศักดิ์กล่าว
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #154 เมื่อ:
พฤศจิกายน 07, 2017, 09:28:15 PM »
สมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (APPP) ร่วมกับ กฟผ.จัดสัมมนา “ร้อยใจผู้ลิตไฟฟ้าไทยปี 2560” ปีที่ 5
วันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 - 16:11 น.
สมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จัดสัมมนา “ ร้อยใจผู้ผลิตไฟฟ้าไทย ปี 2560” พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านพลังงาน และเสริมสร้างสัมพันธภาพเครือข่ายด้านพลังงาน เพื่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าไทย
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าบริหาร บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ‘BGRIM’ และนายกสมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และ นายชัยศักดิ์ ยงบรรเจิด ผู้อำนวยการฝ่ายสัญญาซื้อขายไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นประธานเปิดงานสัมมนา “ร้อยใจผู้ผลิตไฟฟ้าไทย ประจำปี 2560” พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านพลังงาน และเสริมสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้าในประเทศ โดยมีคณะผู้บริหาร และผู้ปฎิบัติงานจาก กฟผ.พร้อมผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ (Independent Power Producer:IPP) ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer:SPP) เข้าร่วมสัมมนา ณ โรงแรมดุสิตธานี พัทยา จังหวัดชลบุรี
นางปรียนาถ นายกสมาคมฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันสมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน มีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 38 บริษัท ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน IPP, SPP และ SPP Renewable และได้ร่วมกันทำกิจกรรมในหลากหลายด้านโดยเฉพาะในช่วงปีที่ผ่านมาก็ได้เข้าไปแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในด้านธุรกิจพลังงานของประเทศไทยในหลายเวที ซึ่งเรามุ่งเน้นที่จะให้เกิดการพัฒนาในด้านพลังงานของประเทศอย่างสร้างสรรค์ ในส่วนของงานสัมมนา “ร้อยใจผู้ผลิตไฟฟ้าไทยในปีนี้ สมาคมฯ ยังคงได้รับความไว้วางใจจาก กฟผ. ให้เป็นผู้ดำเนินการจัดงานสัมมนาในครั้งนี้ โดยมีผู้แทนจากทั้ง กฟผ. กลุ่มบริษัท และ บริษัทผู้ผลิตไฟฟ้ามากกว่า 44 บริษัท รวม 249 คน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้าทั้งในส่วนของ กฟผ. และ เอกชน รวมทั้งจะได้รับทราบปัญหาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกัน ซึ่งในปีนี้เราได้จัดหัวข้อสัมมนา ที่น่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับการดำเนินธุรกิจ โดย
ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมบรรยายจากหลากหลายวงการ นอกจากนี้ เรายังได้ร่วมกันทำกิจกรรมด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งได้ทำต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 5 แล้ว โดยในปีนี้ได้ร่วมกันทำกิจกรรมบริจาคสิ่งของจำเป็นแก่มูลนิธิสงเคราะห์เด็กพัทยา และ กิจกรรมดำน้ำปลูกปะการัง ณ มูลนิธิกิจกรรมค่ายวิทยาศาสตร์ทางทะเล อำเภอสัตหีบ ดังนั้นการสัมมนาในครั้งนี้ นอกจากเราจะได้ความรู้จากการสัมมนาแล้ว พวกเรายังได้ร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ตอบแทนคืนสู่สังคมอีกด้วย
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #155 เมื่อ:
พฤศจิกายน 13, 2017, 11:24:58 PM »
เศรษฐกิจในประเทศ
กต.ไทย-อิหร่านหารือเศรษฐกิจ เผย9เดือนแรกปีนี้ มูลค่าการค้าพุ่ง150% ซื้อข้าว-ยางพาราเพิ่ม
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 - 22:01 น.
น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงผลการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ (Political Consultation) ไทย-อิหร่าน ครั้งที่ 3 ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ โดยมีนายเกริกพันธุ์ ฤกษ์จำนง อธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา เป็นประธานร่วมกับนายมาห์มูด ฟาราเซนเดห์ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออกและโอเชียเนีย กระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน
น.ส.บุษฎีกล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงภาพรวมความสัมพันธ์ทวิภาคีซึ่งมีความคืบหน้าโดยเฉพาะความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้า การลงทุน และความร่วมมือด้านต่างๆ ทั้งนี้การค้าปี 2560 มีมูลค่ารวมกว่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่า 150% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 โดยเฉพาะตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายนปีนี้อิหร่านซื้อข้าวจากไทยกว่า 250,000 ตันแล้ว
น.ส.บุษฎีกล่าวต่อว่า ทั้งสองฝ่ายพร้อมจะส่งเสริมการค้าข้าวจากไทยให้เพิ่มขึ้นอีกไปสู่ระดับที่เคยสูงสุดปีละ 700,000 ตัน ก่อนการคว่ำบาตรเมื่อปี 2549 และเห็นว่ายังสามารถผลักดันปริมาณการซื้อให้สูงขึ้นอีกได้ในอนาคต ขณะที่ฝ่ายอิหร่านได้แสดงความประสงค์จะซื้อยางพาราจากไทยเพิ่มมากขึ้นด้วย
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า ในการเยือนอิหร่านของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เมื่อต้นปี 2559 ไทยและอิหร่านได้ตั้งเป้าการค้าระหว่างกันไว้ที่ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2564 ขณะที่ภาคเอกชนทั้งสองฝ่ายได้ลงนามความตกลงซื้อขายข้าว 3 แสนตัน และยางพารา 2 หมื่นตัน
น.ส.บุษฎีกล่าวว่า ภายหลังการหารือระหว่างอธิบดีทั้งสอง นายฟาราเซนเดห์ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และได้หารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าข้าวและยางพารา โดยกระทรวงการต่างประเทศยังได้ประสานงานให้ฝ่ายอิหร่านเข้าพบหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงต่อไป
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #156 เมื่อ:
พฤศจิกายน 13, 2017, 11:25:26 PM »
เจ้าสัวธนินท์ ร่วมโต๊ะกลม ‘เอพีอาร์ซี’ ถกโอกาสทางธุรกิจในทะเลจีนใต้
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 - 20:29 น.
นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะมนตรีเพื่อสันติภาพและความปรองดองแห่งเอเซีย (APRC) เผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ เอพีอาร์ซีร่วมกับสภาหอการค้าฮ่องกงจัดการประชุมโต๊ะกลมระดับสูงกับภาคเอกชน( APRC- Private Sector High Level Roundtable on Business Opportunities in the South China Sea ) เพื่อรับฟังความเห็นภาคเอกชนต่อโอกาสทางธุรกิจในทะเลจีนใต้ โดยเฉพาะนักธุรกิจที่ลงทุนในอาเซียนและจีน
ผู้เข้าร่วมการประชุม อาทิ นายโบ ก๊วก เจ้าของเคอร์รี่ กรุ๊ป ทำกิจการโลจิสติคและเครือโรงแรมแชงกริล่าทั่วโลก , นายฟู่ ยู หนิง ประธานบริษัทไชนารีซอร์สเซส ทำกิจการท่าเรือในเอเชียหลายประเทศ และอสังหาริมทรัพย์ และเป็นเจ้าของโครงการออลซีซั่นส์ ถนนวิทยุ วิคเตอร์ ฟุง นักธุรกิจที่ลงทุนทั่วอาเซียนและเศรษฐีอันดับ10 ของฮ่องกง นายเฟรด ลัม ประธานผู้บริหารสนามบินฮ่องกง, วินเซนต์ โล ประธานสมาคมสภาการค้าและพัฒนาฮ่องกง, โจนาธาน ชอย ประธานสมาคมหอการค้าจีนในฮ่องกง, นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานสมาคมนักธุรกิจจีนโพ้นทะเล และนายศุภกิจ เจียรวนนท์ , ผู้บริหารระดับสูงจากปตท. สผ., ตัวแทนเบอร์ลี่ ยุคเกอร์, สมาคมตลาดหลักทรัพย์ สิงคโปร์ รวมแล้วประมาณ 50 -60 คน
ที่ประชุมเห็นด้วยว่า สันติภาพในทะเลจีนใต้สำคัญต่อการทำธุรกิจ ต่อ AEC ต่อ RCEP และต่อหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน ภาคเอกชนเห็นว่าความร่วมมือระหว่างจีน-อาเซียนสามารถทำได้หลายทาง เช่นการท่องเที่ยวทางทะเล ทั้งเรือสำราญ ท่าเรือท่องเที่ยว การสร้างสนามบิน ธุรกิจการบินไปยังเกาะต่างๆในทะเลจีนใต้ การฝึกบุคคลากรด้านท่องเที่ยว การอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล การทำธุรกิจประมงร่วม การขนส่งระหว่างประเทศอาเซียน-จีน ไปจนถึงการขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซธรรมาชาติร่วมกัน ความตึงเครียดต่างๆ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อความมั่นใจในการทำธุรกิจในอาเซียน
ที่ประชุมมีมติให้ เอพีอาร์ซี ส่งผลการประชุมของภาคเอกชนให้ที่ประชุมระดับอธิบดีอาเซียน-จีน,ระดับรมต. และผู้นำประเทศต่างๆ ที่เดินทางมาร่วมประชุมเมื่้อเร็วๆนี้
ในการประชุมครั้งนี้ นายตุ้ง จี้ หวา อดีตผู้บริหารสูงสุดเขตปกครองพิเศษฮ่องกงมาร่วมด้วย และยังมี ดร.สุริยา จินดาวงศ์ อธิบดีกรมอาเซียน มาสรุปให้ที่ประชุมฟังความคืบหน้าในการหารือของภาครัฐในเรื่องความร่วมมือในทะเลจีนใต้
จากนั้นสมาชิกและที่ปรึกษาเอพีอาร์ซีได้เข้าพบนางแครี่ แลม หัวหน้าคณะผู้บริหารฮ่องกงเพื่อสรุปผลการประชุม ซึ่งนางแลม ให้การสนับสนุนการประชุมโต๊ะกลมครั้งนี้มาตั้งแต่ต้น
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #157 เมื่อ:
พฤศจิกายน 13, 2017, 11:27:06 PM »
เจ้าสัวธนินท์ ร่วมโต๊ะกลม ‘เอพีอาร์ซี’ ถกโอกาสทางธุรกิจในทะเลจีนใต้
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 - 20:29 น.
นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะมนตรีเพื่อสันติภาพและความปรองดองแห่งเอเซีย (APRC) เผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ เอพีอาร์ซีร่วมกับสภาหอการค้าฮ่องกงจัดการประชุมโต๊ะกลมระดับสูงกับภาคเอกชน( APRC- Private Sector High Level Roundtable on Business Opportunities in the South China Sea ) เพื่อรับฟังความเห็นภาคเอกชนต่อโอกาสทางธุรกิจในทะเลจีนใต้ โดยเฉพาะนักธุรกิจที่ลงทุนในอาเซียนและจีน
ผู้เข้าร่วมการประชุม อาทิ นายโบ ก๊วก เจ้าของเคอร์รี่ กรุ๊ป ทำกิจการโลจิสติคและเครือโรงแรมแชงกริล่าทั่วโลก , นายฟู่ ยู หนิง ประธานบริษัทไชนารีซอร์สเซส ทำกิจการท่าเรือในเอเชียหลายประเทศ และอสังหาริมทรัพย์ และเป็นเจ้าของโครงการออลซีซั่นส์ ถนนวิทยุ วิคเตอร์ ฟุง นักธุรกิจที่ลงทุนทั่วอาเซียนและเศรษฐีอันดับ10 ของฮ่องกง นายเฟรด ลัม ประธานผู้บริหารสนามบินฮ่องกง, วินเซนต์ โล ประธานสมาคมสภาการค้าและพัฒนาฮ่องกง, โจนาธาน ชอย ประธานสมาคมหอการค้าจีนในฮ่องกง, นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานสมาคมนักธุรกิจจีนโพ้นทะเล และนายศุภกิจ เจียรวนนท์ , ผู้บริหารระดับสูงจากปตท. สผ., ตัวแทนเบอร์ลี่ ยุคเกอร์, สมาคมตลาดหลักทรัพย์ สิงคโปร์ รวมแล้วประมาณ 50 -60 คน
ที่ประชุมเห็นด้วยว่า สันติภาพในทะเลจีนใต้สำคัญต่อการทำธุรกิจ ต่อ AEC ต่อ RCEP และต่อหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางของจีน ภาคเอกชนเห็นว่าความร่วมมือระหว่างจีน-อาเซียนสามารถทำได้หลายทาง เช่นการท่องเที่ยวทางทะเล ทั้งเรือสำราญ ท่าเรือท่องเที่ยว การสร้างสนามบิน ธุรกิจการบินไปยังเกาะต่างๆในทะเลจีนใต้ การฝึกบุคคลากรด้านท่องเที่ยว การอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล การทำธุรกิจประมงร่วม การขนส่งระหว่างประเทศอาเซียน-จีน ไปจนถึงการขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซธรรมาชาติร่วมกัน ความตึงเครียดต่างๆ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อความมั่นใจในการทำธุรกิจในอาเซียน
ที่ประชุมมีมติให้ เอพีอาร์ซี ส่งผลการประชุมของภาคเอกชนให้ที่ประชุมระดับอธิบดีอาเซียน-จีน,ระดับรมต. และผู้นำประเทศต่างๆ ที่เดินทางมาร่วมประชุมเมื่้อเร็วๆนี้
ในการประชุมครั้งนี้ นายตุ้ง จี้ หวา อดีตผู้บริหารสูงสุดเขตปกครองพิเศษฮ่องกงมาร่วมด้วย และยังมี ดร.สุริยา จินดาวงศ์ อธิบดีกรมอาเซียน มาสรุปให้ที่ประชุมฟังความคืบหน้าในการหารือของภาครัฐในเรื่องความร่วมมือในทะเลจีนใต้
จากนั้นสมาชิกและที่ปรึกษาเอพีอาร์ซีได้เข้าพบนางแครี่ แลม หัวหน้าคณะผู้บริหารฮ่องกงเพื่อสรุปผลการประชุม ซึ่งนางแลม ให้การสนับสนุนการประชุมโต๊ะกลมครั้งนี้มาตั้งแต่ต้น
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #158 เมื่อ:
พฤศจิกายน 13, 2017, 11:27:30 PM »
กลุ่มค้าหมูรายย่อยโอด!! ร้องหน่วยงานรัฐช่วยหลังนายทุนขายตัดหน้าขายกิโลละ 95บ.
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 - 20:26 น.
นายพงศ์สิษฐ์ สินคุณาธาร เลขที่ 228 ม.5 ต.ฝายกวาง ตัวแทนเกษตรผู้เลี้ยงหมูในพื้นที่เชียงคำ อ.เชียงคำ จ.พะเยา เปิดเผยว่าร่วมกับผู้เลี่ยงหมูรายย่อยในพื้นที่เชียงคำ 10 ตำบล และร่วมกันกว่า 30 คน เข้าร้องเรียนยื่นหนังสือต่อศูนย์ดำรงธรรมเชียงคำ โดยยื่นผ่านนายจรัญ กาญจนปัญญานนท์ นายอำเภอเชียงคำ และการร้องเรียนได้รับความเดือดร้อนในหลายด้าน ประกอบด้วยต้นทุนในการเลี้ยงหมูสูงพอสมควร เช่น อาหารหมูก็แพง,ค่าแรงก็สูงวันละกว่า 300 บาท
นายพงศ์สิษฐ์ กล่าวว่า ทางผู้ประกอบการเลี้ยงหมู่รายย่อย เดือนร้อนหนักไปกว่านี้ก็คือ ได้มีนายทุนฟาร์มหมูในพื้นที่พะเยาเเละภาคเหนือตอนบน มาชำแหละฆ่าหมูขายในรูปแบบราคาถูกตัดหน้ากันเช่น หมูเนื้อแดงในราคา กก.ละ 95 บาท ในส่วนราคาหมูของผู้ค้ารายย่อย หรือของพวกตนหน้าคอก/ฟาร์มเลี้ยง กก.ละ 40-44 บาท หมูชำแหละเนื้อแดง,ทั่วไป กก.ละ 120-130 บาท ภาพรวมหากว่าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากทางการ จากทางรัฐบาล พวกตนคงประกอบอาชีพอยู่ไม่ได้ เพราะต้นทุน ค่าแรงงานสูงและยังมีการแทรกแซงราคาของกลุ่มนายทุนอีก ทำให้ราคาหมู่ของพวกตนตกต่ำขายไม่ได้อีกต่างหาก
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #159 เมื่อ:
พฤศจิกายน 13, 2017, 11:27:57 PM »
สภาอุตฯเผยแรงงานต่างด้าวตกสำรวจอีก6-7แสนคน ชี้กม.ไม่เอื้อเมื่อไหร่แรงงานเถื่อนทะลักอีก
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 - 19:45 น.
แฟ้มภาพประกอบ
วันที่ 11 พ.ย. 2560 เวลา 13.45 น. คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) มีการเสวนาโครงการติดตามเศรษฐกิจไทยครั้งที่ 12 (Thammasat Economic Focus-TEF12) หัวข้อ “เเรงงานต่างด้าว ช่วยจริงหรือวุ่นวาย” ที่ห้อง 101 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)
สภาอุตฯเผย มีแรงงานต่างด้าวตกสำรวจอีก 6-7 แสนคน
นายสุชาติ จันทรานาคราช รองประธานสภาอุตสาหกรรมเเห่งประเทศไทย มองว่า สถานการณ์เเรงงานต่างด้าวในปัจจุบันสิ่งที่เป็นปัญหาไม่ใช่เรื่องของจำนวน เเต่เป็นเรื่องของภาคเเรงงาน โดยเฉพาะเเรงงานประเทศไทย ขณะนี้เรามีเเรงงานต่างด้าวในประเทศไทยกว่า 3,750,000 คน เเละยังมีเเรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้สำรวจอีกกว่า 6-7 เเสนคน โดยเเรงงานไทยในปัจจุบันไม่ทำงานประเภทเสี่ยงอันตราย สกปรก เช่น ประมง จำเป็นต้องใช้เเรงงานต่างด้าวเข้ามาทำจำนวนสูงมาก
“ในส่วนของภาคเอกชน หากถามว่าเราต้องการใช้เเรงงานต่างด้าวหรือไม่ จริงเเล้วไม่มีใครอยากใช้เเรงงานต่างด้าว เเรงงานต่างด้าวที่ทำงานเปิดเผยเข้ามาอย่างถูกกฎหมายจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียน เฉลี่ยคนละเกือบ 2 หมื่นบาท การที่มีคนบอกว่าใช้เเรงงานต่างด้าวเเล้วต้นทุนถูกลงนั้น ไม่เป็นความจริง เเต่ด้วยความจำเป็นก็ต้องใช้เพราะเเรงงานไทยไม่ทำ” นายสุชาติกล่าว
สำหรับการเปิดกว้างให้มีการใช้เเรงงานต่างด้าวมากขึ้นหรือไม่นั้น นายสุชาติ กล่าวว่า ถ้าจำเป็นจะต้องใช้เเรงงานมากก็ต้องใช้ หากกฎหมายไม่สามารถอำนวยความสะดวกในการนำเข้าเเรงงานต่างด้าวเมื่อไร ก็จะมีปัญหาการลักลอบนำเเรงงานต่างด้าวเข้ามา
เปรียบปัญหาแรงงานต่างด้าวเหมือน “ขนมชั้น” ยังไม่เป็นระบบ
ด้านผศ.ดร.ศุภชัย ศรีสุชาติ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้อำนวยการสถาบันเสริมศึกษาเเละทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การเปรียบเทียบปัญหาเเรงงานต่างด้าวก็เหมือนกับ “ขนมชั้น” เพราะมีประเภทของเเรงงานต่างด้าวหลายรูปแบบ หากไปถามเจ้าหน้าที่บางครั้งก็ยังตอบไม่ได้ นั่นทำให้การตรวจสอบเเละการออกมาตรการ one size fit all มีปัญหา โดยข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับเเรงงานต่างด้าว (ก.ย.2560) โดยกรมการจัดหางาน พบว่า เเรงงานประเภททั่วไปมีทั้งสิ้น 103,132 คน, นำเข้าตาม MOU 500,440 คน, พิสูจน์สัญชาติ 1,062,829 คน, ตามฤดูกาล 18,646 คน, ชนกลุ่มน้อย 58,663 คน, ส่งเสริมการลงทุน 45,013 คน เเละยังมีเเบบผิดกฎหมายที่ยังไม่ทราบตัวเลขที่เเน่ชัด
จำนวนเเรงงานต่างด้าวในประเทศไทยจำเเนกตามการเข้าประเทศ (กุมภาพันธ์ 2560) พบว่ามีเเรงงานต่างด้าวทั้งหมด 2,711,439 คน โดยมีเเรงงานกึ่งฝีมือ/ฝีมือ รวม 149,721 คน เเละเเรงงานฝีมือต่ำ/ไร้ฝีมือจำนวน 2,561,718 คน ทั้งนี้เเนวโน้มสถานการณ์เเรงงานต่างด้าว (เมียนมา ลาว กัมพูชา) ตั้งเเต่ปี 2540-2560 เเม้จะมีตัวเลขที่ขึ้นๆลงๆ เพราะความไม่เเน่นอนของนโยบายไทย เเต่อัตราการจ้างเเรงงานต่างด้าวเพิ่มขึ้นตลอด
แนะงานที่อันตราย-สกปรก ควรปรับเพิ่มค่าตอบแทนจูงใจแรงงานไทย
ผศ.ดร.ศุภชัย กล่าวต่อว่า เเรงงานต่างด้าวจะทำให้ประเทศไทยมีทางเลือกในการใช้ทรัพยากรมนุษย์ บรรเทาผลกระทบของสังคมผู้สูงอายุ เเละปัญหาการเลือกงานของคนไทย ทั้งนี้เกิดคำถามที่ว่าเเรงงานต่างด้าวเเย่งอาชีพคนไทย อาทิ งานบางอย่างอาจอันตราย สกปรก คนในอเมริกาทำเนื่องจากมีค่าตอบเเทนที่สูง เเต่ในเมืองไทยไม่ได้เกิดเเบบนั้น
“งานบางงานคนไทยไม่ทำ ถูกตีค่าว่าเป็นงานราคาถูก มีทัศนคติว่าต้องใช้ต่างด้าวทำ เเต่การทำเเบบนั้นคือการเอาต่างด้าวราคาถูกมาทำงานนั่นเอง”นักวิชาการเศรษฐศาสตร์กล่าว
เขากล่าวต่อว่า ในส่วนของต้นทุน ทั้งทางตรงเเละทางอ้อม ภาพธุรกิจอาจะใช้เเรงงานที่ถูกลงจากการมีเเรงงานต่างด้าว เราชอบพูดกันว่า เเรงงานต่างด้าวมาใช้สวัสดิการของบ้านเรา ถามว่าจริงไหม มันคือความจริง เเต่เขาต้องจ่ายภาษีเช่นเดียวกับเเรงงานไทย เเต่ไม่ได้อยู่ในรูปของภาษีเงินได้นิติบุคคล
ส่วนการเข้ามาทำงานเเบบถูกกฎหมายก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายเเรงงาน นายจ้างจะต้องพาเขาไปเข้าสู่ระบบประกันสังคม เเต่จะถูกหักเงินเดือนเข้าประกันสังคม ซึ่งทำให้เเรงงานต่างด้าวได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับคนงานไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอุบัติเหตุ การเสียชีวิต การรักษาพยาบาล เเต่เขาก็มีบางข้อที่ไม่ได้รับ เช่น ชราภาพ ที่ระบุว่าเมื่อทำงานจนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
กรณีพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 มีผลบังคับใช้ตั้งเเต่ 23 มิ.ย. 2560 นั้น ผศ.ดร.ศุภชัย มองว่า สาระสำคัญของพรก.นี้คือการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวเป็นไปอย่างมีระบบ เเละมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดหลักเกณฑ์การนำคนต่างด้าวมาทำงานกับนายจ้างในประเทศเเละการทำงานของคนต่างด้าว ซึ่งผลกระทบเชิงสังคมด้านบวกคือ เเสดงให้เห็นถึงการเเก้ปัญหาการค้ามนุษย์เเละการป้องปรามการค้ามนุษ์ที่เป็นธรรมมากขึ้น การรวมกฎหมายดังกล่าวยังทำให้เกิดการบูรณาการเพื่อให้การใช้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้านลบคือ ขาดการประเมินผลกระทบ รวมถึงการสื่อสารที่ไม่เป็นเอกภาพ ส่งผลต่อการตืนตระหนกของนายจ้างเเละเเรงงาน
“ผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้น หากเกิดผลกระทบขึ้นจริงๆ กิจกรรมทางเศรษฐกิจน่าจะชะงักไปประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ส่วนสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ประเมินว่าจะไม่กระทบต่อภาคการเกษตรมากนัก เพราะเชื่อว่าเหตุการ์ดังกล่าวจะอยู่เพียงระยะสั้นเท่านั้น เมื่อเเรงงานต่างด้าวกลับไปทำเอกสารที่ประเทศตนเรียบร้อยก็น่าจะกลับมาทำงานที่ประเทศไทยอย่างปกติ”ผศ.ดร.ศุภชัยกล่าว และว่า ความล่าช้าของระบบการขออนุญาต ที่พอนายจ้างพาเเรงงานต่างด้าวไปขึ้นทะเบียนต้องใช้เวลา จึงควรลดเงื่อนไขในการขึ้นทะเบียนลง
ตอกย้ำใช้แรงงานต่างด้าว เพราะแรงงานไทยไม่ทำงานสกปรก-งานอันตราย-งานแสนลำบาก
ขณะที่ รศ.ดร.ยงยุทธ เเฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาเเรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์เเละการเปลี่ยนเเปลงที่สำคัญในปัจจุบันคือ โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนเเปลงไป มีผู้สูงอายุมากขึ้น วัยเเรงงานลดลง ทำให้ขาดเเคลนเเรงงานในประเทศ เเต่เศรษฐกิจยังใช้เเรงงานเป็นหลัก โดยเฉพาะเเรงงานที่ทักษะน้อย ซึ่งจะเห็นได้ว่า มีการกล่าวในเรื่องเเรงงานไทยไม่ทำงาน 3D คืองานสกปรก (Dirty), งานอันตราย (Dangerous) เเละงานเเสนลำบาก (Difficult) ส่งผลให้เเรงงานต่างด้าวเข้ามาทดเเทนเเรงงานไทยเพิ่มขึ้น ทั้งที่ถูกกฎหมายเเละผิดกฎหมาย เพราะพวกเขายอมทำงานเหล่านี้
รศ.ดร.ยงยุทธ กล่าวต่อว่า ในอดีตจะเห็นปัญหาการกำกับดูเเลเเรงงานต่างด้าวไม่สามารถเเก้ปัญหาได้ดีเท่าที่ควร เนื่องจากงบประมาณที่จำกัดเเละไม่มีอำนาจในการตัดสินใจนโยบายที่เเท้จริง มีความล้มเหลวในเรื่องระบบการลงทะเบียนเมื่อปี 2554 อีกทั้งความไม่ต่อเนื่องของนโยบายการรับลงทะเบียน ความไม่เเน่นอน วิธีเเละเอกสารที่ไม่เเน่ชัด ขาดการบังคับใช้ที่จริงจัง ทำให้เกิดการทุจริตในที่สุด
รศ.ดร.ยงยุทธ กล่าวถึง พ.ร.ก.การการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 ว่า พ.ร.ก. ดังกล่าวมีทั้งข้อดีเเละข้อเสีย ข้อดีคือจะมีระบบนายจ้างมีสัญญาต่อลูกจ้าง หากลูกจ้างเปลี่ยนนายจ้างต้องทำเรื่องภายใน 5 วัน ถือเป็นการหยุดการจ้างงานเเบบผิดกฎหมาย รวมถึงการค้ามนุษย์เเรงงาน ส่วนเเผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการเเรงงานต่างด้าว พ.ศ.2560-2564 นั้นจะต้องจัดหาเเรงงานต่างด้าวให้เพียงพอต่อความต้องการทางด้านเศรษฐกิจ ลดจำนวนเเรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย เพื่อลดผลกระทบทางลบต่อคนไทย พัฒนาให้เกิดการคุ้มครองเเรงงานต่างด้าวให้ได้มาตรฐานสากล จัดให้มีองค์กรหรือหน่วยงาน เพื่อการบริหารจัดการเเรงงานต่างด้าวที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงดำเนินการติดตามเเละประมวลผลการปฏิบัติงานทั้งระบบให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด นำไปสู่การรับรองอนุสัญญาองค์การเเรงงานระหว่างประเทศ
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #160 เมื่อ:
พฤศจิกายน 13, 2017, 11:28:21 PM »
เชลล์ ปรับลดราคาน้ำมันดีเซล 60 สต./ลิตร มีผลพรุ่งนี้!
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 - 19:13 น.
เชลล์ ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มดีเซลลง 60 สตางค์/ลิตร มีผลพรุ่งนี้ (14 พ.ย. 60) เวลา 05.00 น.
โดยราคาใหม่เป็นดังนี้
เชลล์ E20 แก๊สโซฮอล์ ลิตรละ 25.79 บาท
เชลล์ ฟิวเชฟ แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 28.03 บาท
เชลล์ ฟิวเชฟ ดีเซล จากลิตรละ 27.04 บาท เป็น 26.44 บาท
เชลล์ วี-เพาเวอร์ แก๊ซโซฮอล์ 95 ลิตรละ 32.50 บาท
เชลล์ วี-เพาเวอร์ ดีเซล จากลิตรละ 30.72 บาท เป็น 30.12 บาท
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #161 เมื่อ:
พฤศจิกายน 13, 2017, 11:28:45 PM »
“บิ๊กฉัตร”ตั้งคกก.ตรวจสอบผู้ว่ากยท. ให้รายงานผลใน 7 วัน
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 - 18:58 น.
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังรับข้อเรียกร้องจากกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยาง 2 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มแรกนำโดยนายอุทัย สอนหลักทรัยพ์ แกนนำสภาเครือข่ายยางและสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย (สยยท.) เรียกร้องให้ยกเลิกการตั้งบริษัทร่วมทุนกับระหว่างการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กับ 5 เอกชนรายใหญ่ โดยมีความเห็นว่าอาจจะบริหารไม่ถูกต้องและไม่โปร่งใส เช่น การซื้อยางเฉพาะในกลุ่มของตัวเอง และการซื้อยางในพื้นที่ที่ไม่ถูกต้อง เป็นต้น นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงการเก็บรักษายางพาราที่ไม่เรียบร้อย และการซื้อปุ๋ยที่นำมามอบให้เกษตรกรไม่มีความชัดเจนโปร่งใส ซึ่งแจกจ่ายให้เกษตรกรล่าช้า ทำให้เกิดผลเสีย จึงอยากให้พิจารณาผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยออกจากตำแหน่ง
นอกจากนี้ นายเขศักดิ์ สุดสวาท เลขานุการเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย และนายสุรัตน์ เทือกสุบรรณ คณะกรรมการเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย มีข้อเรียกร้องให้ กยท. ถอนหุ้นออกจากบริษัท ร่วมทุนยางพาราไทย จำกัด แล้วให้ กยท. เป็นผู้ดำเนินการเอง ซึ่ง กยท. สามารถเป็นนิติบุคคลได้อยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังอยากให้รัฐบาลมุ่งเน้นเรื่องการใช้ยางพาราภายในประเทศ และพิจารณาสั่งพักงานผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย
“ได้เชิญผู้ว่าการ กยท. และประธานคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทยเข้าพบ เพื่อสรุปประเด็นทั้งหมดที่เกษตรกรมีข้อสงสัยในการบริหารจัดการของ กยท. จึงขอให้ชี้แจงเรื่องนี้มาทั้งหมด โดยให้ประธานคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการ เนื่องจากต้องสั่งการผ่านคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย ซึ่งจะให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้น เพื่อดูข้อเสนอของเกษตรกรทั้ง 2 กลุ่ม รวมถึงตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้รายงานผลให้ทราบภายใน 7 วัน” รมว.เกษตรและสหกรณ์กล่าว
พร้อมระบุว่า ระเบียบของการยางแห่งประเทศไทย มีการบริหารจัดการภายใต้ พ.ร.บ.การยาง มีกติกาและวิธีการ จึงไม่สามารถปลดผู้การการยางแห่งประเทศไทยได้ ต้องมีการประเมินโดยบอร์ดการยาง หากพบการกระทำความผิดที่เห็นได้ชัดเจนก็จะดำเนินการได้ จึงต้องมีการฟังความจากทุกด้าน เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ทุกฝ่ายด้วย
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #162 เมื่อ:
พฤศจิกายน 13, 2017, 11:29:10 PM »
ชาวสวนยางบุก ก.เกษตร ร้องบิ๊กฉัตร ปลด “ธีธัช” พร้อมเลิกบริษัทร่วมทุน 5 เสือ
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 - 18:14 น.
ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังจากการรับฟังข้อเรียกร้องและรับหนังสือจากตัวแทนเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย และสภาเครือข่ายยางและสถาบันเกษตรกรยางพาราแห่งประเทศไทย (สยยท.) ว่า กลุ่ม สยยท. ได้เรียกร้อง 3 ข้อ ประกอบด้วย 1.การรับซื้อยางไม่ถูกต้องไม่โปร่งใส ซื้อเฉพาะของกลุ่มตัวเอง และซื้อในพื้นที่ที่ไม่ถูกต้อง 2.การเก็บยางในสต๊อกไม่ถูกวิธี และ 3.ความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อปุ๋ยให้กับเกษตรกร แพงกว่าราคาท้องตลาดถึง 2 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) และมีความล่าช้า จึงอยากให้พิจารณาปลดนายธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ออกจากตำแหน่ง
ส่วนชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย ได้เรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1.การเลิกดำเนินเข้าซื้อยาง ผ่านบริษัท ร่วมทุนยางพาราไทย จำกัด และให้ กยท.เป็นผู้ดำเนินการเอง 2.เน้นการใช้ยางพาราภายในประเทศ 3.สั่งพักงานนายธีธัช
พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า ตนได้ชี้แจงกับตัวแทนเกษตรกร ว่า กระทรวงเกษตรได้เชิญนายธีธีช และพล.อ.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) กยท. เข้าหารือเป็นการด่วนในประเด็นเหล่านี้ ซึ่งในส่วนข้อกล่าวหานายธีธัช เรื่องความไม่โปร่งใส ในการปฏิบัติหน้าที่ ได้สั่งการให้พล.อ.ฉัตรเฉลิม จัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบให้ได้ข้อสรุปภายใน 7 วัน ก่อนดำเนินการตามผลการตรวจสอบ ทั้งนี้ ในการปฏิบัติหน้าที่ของนายธีธัช ถือว่าอยู่ภายในพ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทย การดำเนินการตรวจสอบจึงต้องผ่านบอร์ดกยท. ซึ่งมีการประเมินผลงานของนายธีธีช เป็นประจำอยู่แล้ว หากไม่ผ่านการประเมินคงต้องเลิกจ้าง อย่างไรก็ตาม จำเป็นจะต้องฟังความทั้ง 2 ด้าน เพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับทุกฝ่าย
นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานสยยท. กล่าวว่า ปัญหาแรกของยางพารา คือการใช้คนบริหารงานองค์กรยางใหญ่ ตามพ.ร.บ.การยางแห่งประเทศไทย 2558 ต้องสรรหาคนที่สามารถทำงานได้เป็นมืออาชีพและโปร่งใส ปัญหาที่สอง คือ ผู้เข้ามาบริหารต้องมีความรอบรู้เรื่องตลาด สามารถจัดการระบบชี้นำราคายาง เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาให้รัฐบาลโดยไม่ให้เกษตรกรเดือดร้อน อาทิ การลดวันกรีดยาง จำกัดการส่งออกโดยขอความร่วมมือจากประเทศต่างๆ เป็นต้น
นอกจากนี้ สยยท.เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาจากเงินเซส มาตรา 49 ที่เป็นการรักษาเสถียรภาพราคายางในการแก้ไขปัญหา เนื่องจากราคายางพาราปัจจุบันตกลงมากเป็นผลมาจากนักเก็งกำไร ซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ จึงอยากให้พล.อ.ฉัตรชัย เสนอใช้กยท.ใช้เงินเซส มาตรา 4 ออกมาชี้นำราคายางโดยอาศัยสถาบันเกษตรกรที่มีอยู่แล้วให้กู้โดยใช้บุคคลค้ำประกันเงินกู้แบบธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส) และมีเป้าหมายว่ารัฐบาลต้องซื้อยางแผ่นดิบหรือยางก้อนถ้วย ที่สภาบันเกษตรสามารถเก็บได้ โดยกำหนดเป้าหมาย 3-6 เดือน และแต่งตั้งเจ้าหน้าที่กยท. ออกตรวจสต็อกยางที่เก็บไว้
นายเขศักดิ์ สุดสวาท เลขานุการเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตั้งแต่มี พ.ร.บ.การยางแห่งประเทศ 2558 ขึ้นมา โดยกยท.เป็นผู้กำกับดูแล และ 1-2 ปีที่กยท.ข้ามาดำเนินทำงาน นั้น การบริการจัดการเรื่องยางถือว่าล้มเหลว เพราะการออกนโยบายแก้ไขปัญหายางพาราต่างๆ ไม่ตรงจุด ราคายางพาราดิ่งลงเรื่อยๆ และอำนาจการกำหนดราคาไปอยู่กับพ่อค้า จึงเสนอข้อเรียกร้องให้ พล.อ.ฉัตรชัย ช่วยแก้ไขปัญหา 3 ข้อ ได้แก่ 1.อยากให้สั่งพักงานผู้ว่ากยท. เพราะที่ผ่านมาแก้ปัญหาไม่ถูกจุด 2.ให้กยท.ยกเลิกบริษัทร่วมทุนกับผู้ส่งออกยางรายใหญ่ 5 บริษัท ที่มีเงินทุน 1,200 ล้านบาท และถอนหุ้นออกมา เนื่องจากบริษัทร่วมทุนนี้ มีการซื้อขายจริงแค่ 3 จังหวัด และมีการหมุนเวียนยางกัน เป็นการซื้อขายเพื่อเอื้อประโยชน์พวกพ้องตนเอง และ 3.การส่งเสริมการใช้ยางในประเทศ โดยสั่งการไปยังผู้บริหารท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ยางพาราให้มากขึ้น
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #163 เมื่อ:
พฤศจิกายน 13, 2017, 11:29:31 PM »
อคส.เชิญ11ผู้ประกอบการที่ชนะการประมูลข้าวสารในสต๊อกเข้าสู่อุตฯที่ไม่ใช่การบริโภคของคน ประชุมชี้แจง
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 - 17:50 น.
อคส.เชิญ 11 ผู้ประกอบการที่ชนะการประมูลข้าวสารในสต๊อกของรัฐเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคน ครั้งที่ 2 /2560 ประชุมชี้แจงเงื่อนไขสัญญาและมาตรการควบคุมการขนย้ายข้าวสาร ก่อนลงนามในสัญญา ปริมาณ 503,682.311528 ตัน มูลค่า 2,509,907,255.47 บาท
พลตำรวจโท ไกรบุญ ทรวดทรง ประธานกรรมการองค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยว่า วันนี้เวลา 13.30 น. ได้ เชิญผู้ประกอบการที่ชนะการประมูลข้าวสารในสต็อคของรัฐเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคน ครั้งที่ 2/2560 จำนวน 11 ราย ได้แก่ บจก.วี.ซี.เอฟ.กรุ๊ป/บจก.กาญจนาอาหารสัตว์/บจก.มหาทรัพย์ฟีด/บจก.เอส.พี.เอ็ม.อาหารสัตว์/หจก.โรงสีทรัพย์แสงทอง 2550/บจก.จิชัย โปรดิวซ์ /บจก.เอพีเอ็มอะโกร/บมจ.พี.เอส.ซี.สตาร์ซ โปรดักส์/บจก.เชียงรายกิจศิริไซโล 1995 /หจก.เฮงเพิ่มพูน /บุรีรัมย์สหสินข้าวไทย
โดยมี นางอินทรา โภคปุณยารักษ์ ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ อคส.ที่ในส่วนที่กี่ยวข้อง รวมทั้งเชิญผู้แทนจากหน่วยงานได้แก่ อตก. / กรมวิชาการเกษตร / กระทรวงอุตสาหกรรม /คสช. /สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบังคับการตำรวจทางหลวงเข้าร่วมประชุม เพื่อชี้แจงเงื่อนไขสัญญา และวางมาตรการในการควบคุมในการขนย้ายออกจากคลังสินค้าต้นทางไปยังคลังสินค้าปลายทาง ก่อนลงนามในสัญญา และลงพื้นที่ตรวจสอบคลังสินค้าปลายทางต่อไป
ทั้งนี้ได้กำหนดขั้นตอนและมาตรการในการควบคุมการขนย้ายข้าวออกจากคลังสินค้าต้นทางไปจนถึงคลังสินค้าปลายทางที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมของผู้ชนะการประมูลข้าวสารในสต็อกของรัฐจำนวน 57 คลัง ใน 23 จังหวัด ตามที่ กรมการค้าต่างประเทศ เปิดประมูลข้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภค เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา โดยได้มอบหมายให้คณะกรรมการตรวจสอบและกำกับดูแลการดำเนินการระบายข้าวสารในสต็อคของรัฐเพื่อการบริโภคเป็นการทั่วไปและการระบายเข้าสู่อุตสาหกรรมซึ่งมี นางอินทิรา โภคปุณยารักษ์ ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า เป็นประธานกรรมการ และผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ อคส.และผู้แทนจากหน่วยงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจสอบความพร้อม ก่อนลงนามในสัญญา สำหรับคลังสินค้าที่ปลายทาง จะต้องติดตั้งกล้อง CCTV และต้องรายงานข้อมูลสินค้า ผ่านเว็บไซต์
www.pwo.co.th
เพื่อรายงานให้เจ้าหน้าที่ อคส.รับทราบ และเมื่อขนย้ายข้าวถึงสถานที่ปลายทางแล้ว อคส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสุ่มตรวจปริมาณข้าว อีกครั้งว่าตรงตามปริมาณการขนย้ายหรือไม่ หาก อคส.ตรวจพบว่าผู้ซื้อไม่นำเข้าสารเข้าสู่กระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมตามที่ได้แจ้งไว้ในวัตถุประสงค์ที่ขอซื้อจะต้องชำระค่าปรับ 25% ของมูลค่าข้าวสารที่ไม่ได้นำเข้าสู่กระบวนการอุตสาหกรรม และหาก อคส.เลิกสัญญา ผู้ซื้อจะต้องเสียค่าปรับ 25% ของมูลค่าปริมาณข้าวสารที่ยังไม่ได้รับมอบและขนย้าย รวมทั้งจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งทางแพ่งและอาญาด้วย ในการกำหนดขั้นตอนและมาตรการการควบคุม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #164 เมื่อ:
พฤศจิกายน 13, 2017, 11:29:53 PM »
พาณิชย์ถกห้าง-ผู้ผลิต จัดลดกระหน่ำควบช้อปช่วยชาติ โรบินสันปลื้ม 2 วันขายเพิ่ม 10%
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 - 13:23 น.
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 13 พฤศจิกายน กรมได้เชิญผู้ประกอบการค้าปลีกและผู้ผลิตสินค้าประมาณ 30 ราย มาหารือแนวทางจัดงานลดภาระค่าครองชีพประชาชน ส่วนช่วงเวลาต้องดูความพร้อมของผู้ประกอบการและจะสามารถจัดลดราคาสินค้าพิเศษเหมือนปีก่อนไม่น้อยกว่า 80% ไปพร้อมกับช่วงของมาตรการช้อปช่วยชาติของรัฐบาลได้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามอยากให้จัดลดราคาพร้อมกับมาตรการช้อปช่วยชาติจะได้เป็นแรงส่งมากขึ้นต่อการกระตุ้นใช้จ่ายปลายปีและรับปีใหม่ รวมถึงเป็นแรงส่งต่อระบบเศรษฐกิจ
นายอนวัช สังขะทรัพย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายการตลาด บริษัท โรบินสัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บรรยากาศช้อปช่วยชาติสองวันแรก หรือวันที่ 11-12 พฤศจิกายน จากกำหนด 23 วัน ในส่วนของโรบินสันถือได้ว่ามีความคึกคักและได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี โดยมีจำนวนลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นประมาณ 20% ส่งผลให้ยอดสองวันแรกโตประมาณ 10% โดยกลุ่มสินค้าที่ลูกค้าจับจ่ายใช้สอยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มสินค้าแฟชั่นและเครื่องสำอาง กลุ่มสินค้าตกแต่งบ้าน กลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
“มาตรการช้อปช่วยชาติที่โรบินสันถือว่ามีความคึกคัก อาจเพราะตรงกับวันหยุด และห้างมีการทำโปรโมชั่นพิเศษ ช้อป 8,000 บาท รับบัตรของขวัญมูลค่า 150 บาท ช้อป 15,000 บาท รับบัตรของขวัญมูลค่า 300 บาท เพื่อขานรับกับมาตรการไปพร้อมกัน จึงทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเพิ่มมากขึ้น บริษัทคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเช่นนี้อย่างต่อเนื่องจากกลุ่มลูกค้าตลอดมาตรการ 23 วัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมในไตรมาส 4 อีกด้วย”
ด้าน น.ส.วรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ช้อปช่วยชาติช่วงนี้ทำให้มีลูกค้ามาใช้บริการในสาขาเดอะมอลล์มากขึ้น เพราะสามารถลดหย่อนภาษีและได้สินค้าราคาพิเศษจากการที่ห้างจัดโปรโมชั่นช่วงนี้ด้วย ทำให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น แม้มาตรการช้อปช่วยชาติหมดลงในวันที่ 3 ธันวาคม 2560 ทางเดอะมอลล์ก็ยังจัดโปรโมชั่นพิเศษยาวต่อเนื่องถึงต้นปีใหม่หรือสิ้นสุด 7 มกราคม 2561
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #165 เมื่อ:
พฤศจิกายน 13, 2017, 11:30:15 PM »
SUSCO กำไร Q3/60 พุ่ง เติบโตกว่า 86% คาด Q4/60 โกยเพิ่ม รับไฮซีซัน มั่นใจปีนี้รายได้ทะลุ 2 หมื่นล้าน
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 - 10:11 น.
วันที่ 13 พฤศจิกายน SUSCO เผยผลประกอบการ Q3/60 มีกำไรพุ่งทะยานเติบโตขึ้นกว่า 86% เหตุจากยอดขายน้ำมัน CLMV ไตรมาสนี้โตกว่า 40% อีกทั้ง การลงทุนขยายสถานีบริการ และการขยายธุรกิจ Non-Oil อาทิ ร้านสะดวกซื้อจากญี่ปุ่น LAWSON 108 ในฐานะ “แฟรนไชส์” เจ้าแรกในไทยอย่างต่อเนื่อง ผนวกกับแคมเปญ SUSCO Smart Member ผลตอบรับดีเยี่ยม คาดว่า Q4/60 โกยรายได้เพิ่มรับไฮซีซั่น โดยผลักดันให้รายได้ปีนี้ ทะลุ 2 หมื่นล้านบาท
นายชัยฤทธิ์ สิมะโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SUSCO กล่าวว่า ผลประกอบการ Q3/60 SUSCO มีกำไรสุทธิ 103.55 ล้านบาท คิดเป็นกำไรเพิ่มขึ้น 86 % เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มีกำไรสุทธิ 55.66 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการรุกขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้าน Oil และ Non-Oil ไม่ว่าจะเป็นการขยายสถานีบริการน้ำมัน ส่งออกน้ำมันไปยังต่างประเทศ รวมถึงการขยายร้านสะดวกซื้อ LAWSON 108 และร้านกาแฟ เป็นต้น ทั้งนี้ คาดว่าใน Q4/60 จะทำรายได้เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่น ที่มีความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น ทำให้มั่นใจว่า ปีนี้ SUSCO จะทำรายได้ทะลุเป้ากว่า 2 หมื่นล้านบาท อย่างแน่นอน
“ผลประกอบการ SUSCO ในไตรมาส 3 ถือว่าดีมาก โดย SUSCO มีรายได้จากการจำหน่ายน้ำมัน 5,670 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 23% ในส่วนของธุรกิจ Non-Oil ได้มีการขยายสาขาร้านสะดวกซื้อ LAWSON 108 ในฐานะแฟรนไชส์เจ้าแรกในประเทศไทย ร้านกาแฟ และการให้เช่าพื้นที่ ยิ่งไปกว่านั้น ยอดขายน้ำมันสำเร็จรูปส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน CLMV ไตรมาสนี้ ยังเติบโตกว่า 40% รวมไปถึงยอดขายน้ำมันอากาศยานที่เพิ่มขึ้นกว่า 5% ทำให้มีผลกำไรเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนี้ การจัดแคมเปญสมาชิก SUSCO Smart Member ได้ผลตอบรับที่ดีเยี่ยม มียอดสมาชิกรวมแล้วมีจำนวนกว่า 4 แสนรายทั่วประเทศ ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายน้ำมัน ให้เพิ่มมากขึ้น ” นายชัยฤทธิ์กล่าว
“SUSCO Smart Member เป็นแคมเปญที่ SUSCO จัดทำขึ้น เพื่อตอบแทนสมาชิก ให้ได้รับประโยชน์อย่างคุ้มค่าจากการเข้ามาใช้บริการภายในสถานีบริการของ SUSCO ทั่วประเทศ โดยสามารถสะสมแต้มได้ไม่จำกัด ยิ่งเติมมาก ยิ่งได้คะแนนมาก เพียงแค่แจ้งหมายเลขโทรศัพท์มือถือเท่านั้น ซึ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ส่งผลให้มีผู้สนใจสมัครเป็นสมาชิกเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว มียอดรวมแล้วกว่า 4 แสนรายทั่วประเทศ ทั้งนี้ มีสมาชิกมาแลกรับรางวัลใหญ่ ได้แก่ ทองคำแท่ง และรางวัลอื่นๆ อย่างสม่ำเสมอ และอยากเชิญชวนให้รีบสมัครเป็นสมาชิก เพื่อรับผลประโยชน์ต่างๆ อย่างเต็มที่ สามารถสมัครได้ที่สถานีบริการ SUSCO ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ
http://member.susco.co.th
ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”
สำหรับ แผนงานในปี 2561 SUSCO ตั้งเป้ายอดขายน้ำมันเติบโต 8-10% หรือ จำนวนกว่า 1,300 ล้านลิตร โดยขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเป้าหมายต่อไป คือ ภายในปี 2562 SUSCO จะเพิ่มรายได้ในส่วนค่าเช่าจากร้านค้าปลีก ให้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 2 เท่า อันจะทำให้ SUSCO มีอัตราการเติบโต ทั้งขนาดธุรกิจ และรายได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง เพราะสถานีบริการส่วนใหญ่ของ SUSCO จะถือกรรมสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของที่ดินเอง
ส่วนภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน ในปี 2561 ที่กำลังจะมาถึง จะยังคงมีการแข่งขันที่เข้มข้น ส่วนราคาน้ำมันในตลาดโลก คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 55 – 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดย SUSCO จะยังคงเดินหน้าขยายฐาน SUSCO Smart Member สู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ พร้อมกับ เร่งขยายสถานีบริการให้เพิ่มมากขึ้น โดยได้เปิดสาขาล่าสุดที่ อมตะซิตี้ จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นสาขาที่ 230 และได้เปิดให้บริการร้านสะดวกซื้อ LOWSON 108 เป็นสาขาแรกของ SUSCO ในฐานะแฟรนไชน์เจ้าแรกในประเทศไทย ทั้งนี้ ในปี 2561 SUSCO ตั้งเป้าจะเปิดสถานีบริการ จำนวน 30 แห่ง และ ร้านสะดวกซื้อ LOWSON 108 จำนวน 10 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท นายชัยฤทธิ์กล่าว
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #166 เมื่อ:
พฤศจิกายน 13, 2017, 11:30:42 PM »
รื้อใหญ่เขตศก.พิเศษชายแดน เล็งปั้น “สงขลา” เป็นศูนย์กระจายสินค้า
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 - 03:07 น.
รื้อใหญ่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน เปลี่ยนรูปแบบ ไม่เน้นทำแค่เป็นนิคม พร้อมโฟกัสรูปแบบแต่ละพื้นที่ชัดเจน ตามความต้องการของพื้นที่ ด้าน กนอ.ระบุ พ.ร.บ.เขตเศรษฐกิจพิเศษฯล่าช้า คาดประกาศใช้ได้ปี”61
นายศิริรุจ จุลกะรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า คณะอนุกรรมการด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) ที่มีนายอุตตม สาวนายนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสากหกรรมเป็นประธาน อยู่ในระหว่างจัดทำแผนการตลาดและประชาสัมพันธ์สำหรับพื้นที่เป้าหมาย 10 จังหวัดใหม่ทั้งหมดใน 2 ประเด็นหลักคือ ไม่จำกัดวงเฉพาะเพื่อดำเนินการเป็นนิคมอุตสาหกรรมเท่านั้น และให้คำนึงถึงความต้องการและประโยชน์ที่ประชาชนในพื้นที่จะได้รับ โดยในประเด็นแรกนั้นได้กำหนดเป้าหมายของแต่ละพื้นที่ไว้เบื้องต้นคือ 1) เขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด จังหวัดตาก ให้จัดตั้งเป็นศูนย์โลจิสติกส์
2) เขตเศรษฐกิจพิเศษสะเดา จ.สงขลา จัดตั้งเป็นศูนย์กระจายสินค้า
3) เขตเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว
จ.สระแก้ว ให้จัดตั้งเป็นนิคมอุตสาหกรรม และ 4) เขตเศรษฐกิจพิเศษ จ.ตราด ให้จัดตั้งเป็นเมืองใหม่เพื่อการท่องเที่ยว ส่วนพื้นที่ที่เหลือให้จัดตั้งเป็นศูนย์บริการสาธารณสุข ศูนย์การศึกษา หรือนิคมอุตสาหกรรมเพื่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นต้น ในขณะที่การประชาสัมพันธ์จะเน้นเฉพาะกลุ่มมากขึ้น
นอกจากนี้เดินหน้าเชิงรุกโดยการจัดทำข้อมูลของผู้ประกอบการในแต่ละพื้นที่ที่ต้องการร่วมลงทุนอย่างชัดเจน พร้อมทั้งกำหนดจุดพื้นที่และเส้นทางคมนาคมที่สามารถเชื่อมโยงไปยังพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) และจะเดินสายสัญจร ประสานความร่วมมือกับองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ JFTRO เพื่อชักจูงการลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุน
ใน 15 จังหวัดที่มีความร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมไปก่อนหน้านี้ ให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จัดหาพื้นที่ให้กับผู้ประกอบการ SMEs และให้มีการจัดทำคู่มือส่งเสริมการลงทุนไปจนถึงการจัดสัมมนาเพื่อชักจูงนักลงทุน อย่างไรก็ตาม แนวทางดังกล่าวจะต้องนำเสนอต่อสภาพัฒน์เพื่อให้นำเสนอต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) วันที่ 17 พ.ย.นี้
“หากทำแค่นิคมจะได้แค่การลงทุนจากภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น ต้องจัดโรดโชว์ไปในพื้นที่เป้าหมาย หรือเหมือนที่กระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (METI) มาสัมมนาที่ไทย ภาพต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่จะต้องชัดเจนมากขึ้นว่าจะลงทุนอะไรได้บ้าง
ดังนั้น 13 ประเภทกิจการเป้าหมายก็ต้องปรับใหม่ให้สอดคล้องกับตามพื้นที่ โดยแผนการตลาดทั้งหมดจะใช้งบปี”61”
ด้านนายนิยม ไวยรัชพานิช รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในแต่ละจังหวัดมีความพร้อมไม่เท่ากัน จึงนำเสนอให้เริ่มที่ 4 จังหวัดเขตเศรษฐกิจพิเศษที่มีความพร้อมมากที่สุดไปก่อน คือเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด, สะเดา, สระแก้ว และมุกดาหาร ซึ่งมีความพร้อมเกือบทุกด้านและมีมูลค่าซื้อขายผ่านเขตเศรษฐกิจพิเศษเหล่านี้จำนวนมาก ส่วนแผนดึงนักลงทุนเข้ามา ภาครัฐต้องแก้ไขปัญหาที่มีก่อน เพื่อให้เกิดความสะดวกด้านการค้า การลงทุนของภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของพื้นที่ลงทุน ซึ่งหากแก้ไขปัญหาได้เชื่อว่าจะทำให้มูลค่าการค้าชายแดนจะเพิ่มขึ้น เช่น พื้นที่เขตเศรษฐกิจฯ แม่สอดเป็น 300,000 ล้านบาท/ปี จากเดิม 100,000 ล้านบาท/ปี
ด้านนายนายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า พ.ร.บ.เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) ยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งยอมรับว่าล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ และอาจเลื่อนการประกาศใช้เป็นปี 2561 จากที่ต้องออกมาพร้อมคู่กันกับ พ.ร.บ.เขตพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ช่วงปลายปีนี้
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า สถิติการขอรับการส่งเสริมพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2558-30 ก.ย. 2560 จำนวน 47 โครงการ รวมวงเงินลงทุน 8,801 ล้านบาท ปัจจุบันผ่านการอนุมัติแล้ว 42 โครงการ
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #167 เมื่อ:
พฤศจิกายน 13, 2017, 11:31:03 PM »
“เวิลด์แก๊ส” บุกตลาด CLMV ค้าส่งก๊าซแอลพีจีเมียนมา
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 - 03:00 น.
ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ หนีตลาดในประเทศซบเซา จับมือโรงกลั่นน้ำมัน ทดลองค้าส่งก๊าซ LPG 70 ตันไปเมียนมา เล็งอนาคตจับมือพันธมิตรนำเข้าก๊าซเอง หากต้นทุนถูกกว่าซื้อในประเทศ
นายนพวงศ์ โอมาธิกุล ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ WP Energy เจ้าของแบรนด์เวิลด์แก๊ส เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภายหลังจาก
ที่ตลาดค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในประเทศซบเซา โดยเฉพาะการจำหน่ายในภาคขนส่งที่ยอดขายลดลงต่อเนื่องถึงร้อยละ 10 เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลงอย่างมาก อยู่ที่
ระดับ 50-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้ผู้บริโภคหันไปเติมน้ำมันแทนมากขึ้นนั้น จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้บริษัทดับบลิวพีฯต้องขยายตลาดไปยังเพื่อนบ้านมากขึ้น เช่น ประเทศในกลุ่ม CLMV โดยล่าสุดได้ร่วมมือกับโรงกลั่นน้ำมันในประเทศ เริ่ม “ทดลอง” ค้าส่งก๊าซ LPG ไปยังประเทศเมียนมา เพื่อรองรับความต้องการ สำหรับปริมาณก๊าซ LPG ที่เริ่มส่งออกประมาณ 60-70 ตัน ซึ่งใช้รถบรรทุกของบริษัทดับบลิวพีฯที่ได้มาตรฐาน โดยมีต้นทางการขนส่งคือจากโรงกลั่นน้ำมันในภาคตะวันออก ไปจนถึงผู้ใช้ปลายทางที่ประเทศเมียนมา
ทั้งนี้ การทดลองส่งออกทำให้รู้ว่าต้องบริหารต้นทุนการขนส่งให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งอยู่ระหว่างวิธีการเพื่อให้ใช้ประโยชน์ระบบขนส่งให้คุ้มค่า เช่น ในระหว่างทางอาจเพิ่มการขนส่งระหว่างจังหวัด โดยอาจจะรับก๊าซ LPG จากคลังในจังหวัดขอนแก่นไปยังจังหวัดอื่น ๆ เป็นต้น สำหรับตลาดก๊าซ LPG ในเมียนมา มองเป็นโอกาสและจุดเริ่มต้นที่ดี และเชื่อมั่นว่า ในอนาคตบริษัทดับบลิวพีฯจะสามารถขยายไปยังประเทศอื่นได้อีก ไม่ว่าจะเป็น สปป.ลาว เวียดนาม
“ต้องหาตลาดเพิ่ม ในประเทศเพื่อนบ้านเรามองเป็นโอกาสทั้งหมด เพราะคาดการณ์ว่าประเทศในกลุ่ม CLMV เศรษฐกิจในประเทศค่อนข้างขยายตัว ฉะนั้นความต้องการใช้พลังงานก็จะปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน”
นายนพวงศ์กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทดับบลิวพีฯอยู่ในระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ 3 เรื่อง คือ 1) ศึกษาการลงทุนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น การลงทุนสร้างโรงงานผลิตถังก๊าซ LPG เอง 2) การใช้ประโยชน์คลังก๊าซในภูมิภาคร่วมกับพันธมิตรเพื่อลดต้นทุน เช่น ในบางพื้นที่บริษัทดับบลิวพีฯอาจจะไม่มีคลังก๊าซ ในขณะเดียวกันพันธมิตรก็อาจจะไม่มีคลังในบางพื้นที่เช่นกัน ก็สามารถมาใช้
ประโยชน์จากคลังร่วมกันได้ และ 3) ศึกษาการนำเข้าก๊าซเองในอนาคต ตามนโยบายของกระทรวงพลังงานที่เปิดเสรีการนำเข้าก๊าซ LPG โดยได้เริ่มหารือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศแล้ว ซึ่งในกรณีที่คำนวณแล้วพบว่าการนำเข้าจากต่างประเทศได้ราคาต่ำกว่าการซื้อในประเทศจึงจะพิจารณาอีกครั้ง
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #168 เมื่อ:
พฤศจิกายน 14, 2017, 09:46:15 PM »
อาเซียน-ญี่ปุ่น ปิดดีลเจรจาค้าเสรีบริการและการลงทุน
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 - 17:46 น.
รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและญี่ปุ่น ไขก๊อกประเด็นขวางข้อตกลงการค้าบริการและการลงทุนได้สำเร็จหลังเจรจายืดเยื้อมากว่า 5 ปี ตั้งเป้าหมายลงนามพิธีสารแก้ไขความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) ภายในปี 2562
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงผลการหารือระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนและญี่ปุ่นอย่างไม่เป็นทางการ ในช่วงการประชุม ASEAN Summit ครั้งที่ 31 เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ว่าอาเซียนและญี่ปุ่นได้ใช้เวลาในการเจรจาเรื่องการค้าบริการ และการลงทุนมากว่า 5 ปีแล้ว แม้จะสรุปผลในภาพรวมได้ แต่ที่ผ่านมายังติดประเด็นเกี่ยวกับการระงับข้อพิพาทการลงทุน ซึ่งมีความสำคัญกับประเทศสมาชิกอาเซียน โดยอาเซียนและญี่ปุ่น ต่างใช้ความพยายามในการเจรจาด้วยความยืดหยุ่น และเข้าใจถึงสถานการณ์ของประเทศสมาชิกมาโดยตลอด จนทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุผลการเจรจาเรื่องนี้ได้สำเร็จ สำหรับการดำเนินการต่อไป อาเซียนและญี่ปุ่นจะเร่งเดินหน้าขัดเกลาถ้อยคำทางกฎหมาย ในพิธีสารแก้ไขความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น เพื่อผนวกข้อบทการค้าบริการ การเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดา และการลงทุน โดยตั้งเป้าหมายลงนามในเอกสารดังกล่าวภายในปีหน้า
นางอภิรดี กล่าวเพิ่มเติมว่า การสรุปผลเจรจาด้านบริการและลงทุนจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปสู่การขยายการค้า การลงทุนในภูมิภาคให้เพิ่มมากขึ้น สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และเมื่อมีผลบังคับใช้นักลงทุนจะสามารถเข้าไปให้บริการในสาขาต่างๆ ในญี่ปุ่นได้มากยิ่งขึ้น เช่น การเข้าถึงสาขาบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ บริการโสตทัศน์ บริการก่อสร้าง บริการการเงิน บริการการท่องเที่ยว และช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าสู่ตลาดการลงทุนของนักลงทุนไทยในญี่ปุ่น ภายใต้กฎเกณฑ์ที่มีความชัดเจน ควบคู่กับการคุ้มครองและอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน
ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น มีผลบังคับใช้เมื่อปี 2552 ซึ่งเป็นการเปิดเสรีเฉพาะการค้าสินค้า ส่งผลให้มูลค่าการค้าสองฝ่ายระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น ในปี 2558 ขยายตัวสูงถึง 239.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 10.5 ของการค้ารวมของอาเซียน ปัจจุบันญี่ปุ่นเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของอาเซียนรองจากจีน สำหรับการลงทุนทางตรงจากญี่ปุ่นมายังอาเซียน ในปีที่ผ่านมามีมูลค่ากว่า 17.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยญี่ปุ่นยังคงครองตำแหน่งนักลงทุนรายใหญ่อันดับ 2 ของอาเซียน รองจากสหภาพยุโรป คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 14.5 ของเม็ดเงินลงทุนทางตรงทั้งหมดในอาเซียน
ญี่ปุ่นยังคงเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทย (รองจากจีน) โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2555-2559) มีมูลค่าการค้าเฉลี่ยปีละ 70,510.61 ล้านเหรียญสหรัฐ และในปี 2559 การค้ารวมระหว่างไทยกับญี่ปุ่นมีมูลค่า 51,241 ล้านเหรียญสหรัฐ อัตราการเติบโตลดลงจากปีที่แล้ว ร้อยละ 0.11
สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปญี่ปุ่น ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไก่แปรรูป เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์พลาสติก เม็ดพลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เป็นต้น ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญของไทยจากญี่ปุ่น ได้แก่ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ แผงวงจรไฟฟ้า สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ และเครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #169 เมื่อ:
พฤศจิกายน 14, 2017, 09:46:38 PM »
ครม.ไฟเขียว ขยายเวลาดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ 3 โครงการ
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 - 15:29 น.
แฟ้มภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข่าว
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 เวลา 12.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานจากตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาลว่า นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังจากการประชุมในวันนี้ว่าด้วยเรื่อง ขออนุมัติขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการชลประทานขนาดใหญ่ จำนวน 3 โครงการจากขอเสนอของทางกระทรวงเกษตรเเละสหกรณ์
โดยโครงการที่ 1 คือโครงการเขื่อนทดน้ำผาจุก จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นการบริหารจัดการน้ำในรุมแม่น้ำน่านตอนล่าง เพื่อที่จะส่งน้ำให้พื้นที่ชลประทานในเขตโครงการประมาณ 48,000 กว่าไร่ ที่ผ่านมาเกิดปัญหา คือการปรับแผนดำเนินการใหม่เนื่องจากสภาพภูมิประเทศได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไป มีการจัดหาที่ดินล่าช้า เนื่องจากการเจรจาต่อรองระหว่างภาครัฐและประชาชนไม่ลงตัว และภาคแปลงติดปัญหาข้อกฏหมาย นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขแบบก่อสร้างระบบส่งน้ำ เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน ในกรณีนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จทุกรายการภาคในปีงบประมาณ 2566 มีการขยายไปอีก 5 ปี
โครงงานที่ 2 คือโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำรีอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.อุตรดิตถ์ วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพื้นที่ชลประทานฤดูฝนอีก 53,000 ไร่ บริหารจัดการน้ำและบรรเทาอุทกภัยในรุมแม่น้ำน่านตอนล่าง ที่ผ่านมามีปัญหาพื้นที่การก่อสร้างต้องออก พ.ร.ก.เพิกถอนอุทยานฯ และเพิ่งจะมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 มี.ค 2560 โครงการนี้ขยายระยะเวลาออกไปอีก 3 ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2564
เเละโครงการที่ 3 คือโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จ.เชียงใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการรุมแม่น้ำปิงตอนบน และเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนของอ่างเก็บน้ำ เพื่อใช้ในการเกษตร อุปโภค บริโภค อุตสาหกรรม และระบบนิเวศน์ รวมถึงเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกในช่วงฤดูแล้ง ที่ผ่านมาเกิดปัญหาคือขั้นตอนการขอเพิกถอนพื้นที่อุทยานแห่งชาติศรีลานนา บางส่วนเพื่อใช้ในการก่อสร้างใช้ระยะเวลานาน ดังนั้นจึงขอขยายระยะเวลาออกไปอีก 5 ปี คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปี 2565
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #170 เมื่อ:
พฤศจิกายน 14, 2017, 09:47:04 PM »
ครม.อนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพัน Matching Fund กระตุ้นศก.ท้องถิ่น
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 - 14:46 น.
แฟ้มภาพประกอบข่าว
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำตัวนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายเงินโครงการตามมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เศรษฐกิจและสังคมในท้องถิ่น หรือ Matching Fund (เพิ่มเติม) จากเดิมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้ว ให้สามารถก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 และเบิกจ่ายตามงวดงาน เป็น ให้สามารถก่อหนี้ผูกพันภายในวันที่ 30 มีนาคม 2561 เนื่องจากเพิ่งได้รับการจัดสรรงบกลางฯ ปี 60 เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2560 เพื่อไปดำเนินโครงการฯ ใน 38 จังหวัด 511 โครงการ วงเงิน 176 ล้านบาท เมื่อสมทบกับรายได้ของ อปท.จำนวน 221 ล้านบาท รวม 397 ล้านบาท
ทั้งนี้ การจัดสรรงบกลางฯ ปี 60 ให้ อปท.ในโครงการ Matching Fund รวมทั้งสิ้น 2 ครั้ง ครั้งแรก จำนวน 2,712 โครงการ วงเงิน 1,071 ล้านบาท ครั้งที่ 2 จำนวน 511 โครงการ วงเงิน 176 ล้านบาท เมื่อรวมกับเงินสมทบจากรายได้ อปท. จำนวน 1,555 ล้านบาท คิดเป็นวงเงินรวมทั้งหมด 2,802 ล้านบาท
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #171 เมื่อ:
พฤศจิกายน 14, 2017, 09:47:28 PM »
ราคายางพ่นพิษ สวนยางถูกทิ้งร้าง รายได้ต่ำคนกรีดยางหนี เกษตรกรขอ 70 บาท/กก.
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 - 13:19 น.
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ที่ จ.ตรัง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่เกษตรกรชาวสวนยางพาราประสบปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ทำให้ชาวสวนยางได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก หลายแปลงเจ้าของสวนตัดสินใจโค่นทิ้งก่อนหมดอายุกรีด เพื่อหันไปปลูกปาล์มน้ำมันแทน และทำการเกษตรประเภทอื่นแทน ขณะเดียวกันหลายแปลงลูกจ้างกรีดยางหนีหาย เจ้าของสวนหาคนกรีดใหม่ไม่ได้ ต้องปล่อยทิ้งร้าง
นายชอบ ประจงใจ เจ้าของสวนยางในพื้นที่ ต.ทุ่งต่อ อ.ห้วยยอด จ.ตรัง เนื้อที่กว่า 20 ไร่ กล่าวว่า ขณะนี้พบมีสวนยางพาราหลายแปลงถูกปล่อยทิ้งร้างไม่มีคนกรีด เพราะประสบปัญหาเรื่องคนงานมีรายได้จากการรับจ้างกรีดยางในแต่ละวัน ไม่พอเลี้ยงครอบครัว จึงหยุดกรีด แล้วหันหาอาชีพรับจ้างอย่างอื่นทำแทน ในส่วนของตนเองมีทั้งหมด 3 แปลง ทั้งกรีดเองบ้าง ให้ลูกจ้างกรีดบ้าง ส่วนที่ลูกจ้างกรีดเนื้อที่กว่า 20 ไร่ ต้องทิ้งร้างหาลูกจ้างใหม่ไม่ได้ และทุกครั้งที่มีปัญหาราคายางตกต่ำ ก็จะเกิดปัญหาลูกจ้างทิ้งสวนยางไม่มีคนกรีดทุกครั้ง
“ส่วนที่ตนเองกรีดเองก็จะกรีดบ้างหยุดบ้าง เพราะราคายางตกต่ำ กรีดก็ได้เงินไม่คุ้มค่าเหนื่อย จึงไม่มีกำลังใจจะกรีด และหันไปทำอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย และในพื้นที่ ต.ทุ่งต่อ อ.ห้วยยอด ก็มีหลายแปลงที่ถูกทิ้งร้าง อยากให้ผู้บริหารการยางแห่งประเทศไทย และรัฐบาลเร่งหามาตรการแก้ไขปัญหา เพราะหากปัญหายังอยู่ลักษณะนี้เกษตรกรจะอยู่ต่อไปไม่ได้ เพราะจะมีหนี้สินเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ราคายางพาราที่เกษตรกรอยู่ได้จะต้องอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 70 บาท เพราะต้นทุนการผลิตยางพาราอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 66 บาท” นายชอบกล่าว
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #172 เมื่อ:
พฤศจิกายน 14, 2017, 09:47:58 PM »
พาณิชย์จับมือ WEF เสริมจุดแข็ง แก้จุดอ่อน หวังดันอันดับขีดแข่งขันของไทยดีเพิ่มขึ้น
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 - 12:48 น.
พาณิชย์จับมือ WEF เสริมจุดแข็ง แก้จุดอ่อน หวังดันอันดับขีดแข่งขันของไทยดีเพิ่มขึ้น พร้อมดึงบิ๊กธุรกิจและภาคส่วนต่างๆ ร่วมวงวางกรอบขับเคลื่อนประเทศ
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการจัดการประชุม Competitiveness and Inclusive Growth : Navigating towards Thailand 4.0 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ World Economic Forum (WEF) จะร่วมกันจัดขึ้นในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2560 ณ โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ นี้ว่า จะเป็นการหารือระหว่างผู้แทนจากหลากหลายกลุ่ม เกี่ยวกับประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งดาเนินการในการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทย เพื่อวางรากฐานการพัฒนาประเทศในอนาคตตั้งแต่บัดนี้
รมว.พาณิชย์กล่าวว่า ในปี 2017 นี้ WEF ได้จัดอันดับความแข่งขันของไทยเป็นลาดับที่ 32 โดยเป็นการเพิ่มขึ้น 2 อันดับจากเดิมที่ 34 โดยมีเรื่องที่ทำได้ดีขึ้น เช่น โครงสร้างพื้นฐานของไทยที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งคุณภาพถนน โครงสร้างระบบราง ท่าเรือ การขนส่งทางอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัดส่วนการเป็นสมาชิกโทรศัพท์มือถือ ไทยขยับขึ้นมาจากอันดับ 55 ปีที่แล้ว มาอยู่อันดับ 5 อัตราการเข้าเรียนในระดับมัธยมศึกษา จากอันดับที่ 84 มาอยู่ที่อันดับ 8 ของโลก รวมถึงมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวม หรือ GDP ไทย ได้รับการจัดอันดับอยู่ที่ 20 ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงมากเช่นกัน
นอกจากนี้ อันดับของประเทศไทยยังได้รับการจัดอันดับดีขึ้นอีกหลายประเด็น ทั้งด้านประสิทธิภาพแรงงาน ด้านสภาพแวดล้อมด้านหน่วยงาน ด้านการศึกษาขั้นสูงและการฝึกอบรม ด้านสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาค และที่สำคัญคือด้านนวัตกรรม และด้านความพร้อมเทคโนโลยี ที่ได้รับการจัดอันดับที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ด้วย ทำให้ปีนี้ WEF ไม่มีคำแนะนำประเทศไทยแบบเฉพาะเจาะจง แต่ให้คำแนะนำทั่วไป คือ การใช้นวัตกรรมควรพัฒนาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว WEF มองว่า ไทยยังมีจุดอ่อนที่ต้องเร่งปรับปรุงอีกหลายด้าน ซึ่งการมาจัดการประชุมของ WEF ในครั้งนี้ จะนำเสนอประเด็นที่เห็นว่าไทยควรเดินหน้าพัฒนาให้เร็วขึ้น ได้แก่ (1) การพัฒนาด้านสถาบันเพื่อให้มีธรรมาภิบาล (2) การปรับ/ลดกฎระเบียบเพื่อสร้างความมีประสิทธิภาพของตลาดและสินค้า (3) การสร้างความพร้อมทางเทคโนโลยี (4) การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม และ (5) การพัฒนาการศึกษาและทักษะ โดยทาง WEF ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมานำเสนอประเด็นเหล่านี้อย่างลึกและตรงไปตรงมา และจะเสนอให้ไทยให้ความสาคัญกับการมีนโยบายเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม (inclusive growth policy) เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในระยะยาว
นางอภิรดีกล่าวว่า งานครั้งนี้นอกจากมีรัฐมนตรีและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมแล้ว จะมี CEO ของบริษัทชั้นนำ เช่น ปตท. ไทยเบฟ ซีพี ธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเป็นสมาชิกของ WEF ร่วมเป็นผู้อภิปราย พร้อมกับตัวแทนจาก Oxfam UNDP ESCAP ธนาคารโลก บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระหว่างประเทศ เช่น PwC และยังมีผู้แทนจากกลุ่มเทคสตาร์ทอัพ กลุ่มเกษตรกรออร์แกนิค บริษัทขนาดกลางที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี SME และหอการค้าต่างประเทศในไทย เข้าร่วมการระดมสมองอย่างคับคั่ง โดยเป้าหมายคือ หาแนวทางนโยบายให้ภาครัฐและภาคเอกชน ในการปฏิรูปเศรษฐกิจไทย ให้รองรับกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในโลกอย่างรวดเร็ว
“การจัดงานของ WEF เรื่องความสามารถในการแข่งขันของไทยครั้งนี้ มั่นใจว่าจะช่วยเสริมการจัดทำแผนปฏิรูปของไทย ที่นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ความสำคัญอย่างมากในขณะนี้ เชื่อว่าจะได้ความคิดและข้อเสนอแนะที่เป็นรูปธรรมและนาไปใช้ในการกำหนดนโยบายและมาตรการทางเศรษฐกิจได้ต่อไป” นางอภิรดีกล่าวในตอนท้าย
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #173 เมื่อ:
พฤศจิกายน 14, 2017, 09:48:21 PM »
อธิบดีกรมการค้าภายในลงพื้นที่อีสาน ติดตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรปลูกข้าว
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 - 12:37 น.
อธิบดีกรมการค้าภายใน ลงพื้นที่อีสาน ติดตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรปลูกข้าว เนื่องเป็นช่วงผลผลิตกำลังออก พร้อมติดตามโครงการ แอพพลิเคชั่น จองรถเกี่ยวข้าว รับเกษตรกรสนใจเข้าร่วมมากขึ้น
นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวระหว่างการลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ และอุบลราชธานี ระหว่างวันที่ 14-15 พฤศจิกายน 2560 ว่า เพื่อชี้แจงและติดตามมาตรการการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เนื่องจากที่ผ่านมาคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) และ คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบและอนุมัติมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ปีการผลิต 2560/61 เพื่อรองรับผลผลิตข้าวที่จะออกสู่ตลาด ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป อีกทั้ง เปิดรับฟังปัญหาเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเพื่อนำไปแก้ไขต่อไป
เบื้องต้น กรมฯก็ได้ชี้แจงถึงโครงการ มาตรการที่รัฐบาลจะดำเนินการให้เกษตรกรได้รับทราบถึงนโยบายที่รัฐบาลออกมาเพื่อช่วยเหลือ ซึ่งพบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ก็รับทราบนโยบาย แต่ก็ได้มีความกังวลถึงราคา เมื่อจะนำข้าวออกมาขายหรือเข้าร่วมโครงการ จะได้ราคาหรือไม่ ซึ่งกรมฯ ก็ได้ชี้แจงรายละเอียดซึ่งทุกคนก็เข้าใจ รวมไปถึงมาตรการอื่นๆด้วย
นอกจากนี้ เพื่อติดตามโครงการนำร่อง ที่กรมการค้าภายในดำเนินการด้านการบริหารจัดการรถเกี่ยวข้าวโดยนำเรื่องของการใช้ Application ซึ่งกรมฯได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จัดทำ Application“จองรถเกี่ยว” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการรถเกี่ยวข้าวและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนรถเกี่ยวข้าวในพื้นที่
โดยกรมฯได้นำร่องโครงการนี้ที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวหอมมะลิที่สำคัญของประเทศ ซึ่งดำเนินโครงการในพื้นที่ 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอเดชอุดม อำเภอเขื่องใน อำเภอพิบูลมังสาหาร และอำเภอตระการพืชผล เบื้องต้น พบว่า โครงการนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากเกษตรกร ชมรมรถเกี่ยวข้าวของจังหวัด ซึ่งยังได้รับการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรถเกี่ยวข้าวเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ดี จากความสำเร็จครั้งนี้ กรมฯ จะขยายพื้นที่การดำเนินการไปในแหล่งเพาะปลูกข้าวหอมมะลิที่สำคัญในพื้นที่อื่น ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และพะเยา จำนวน 1,200 ราย ล่าสุด พบว่า มีเกษตกรสนใจ ดาวน์โหลด Application “จองรถเกี่ยว” เพื่อใช้งานแล้วจำนวน 555 ราย ลงทะเบียนใช้งาน 472 ราย และจองรถเกี่ยวข้าว ในระบบจำนวน 174 ราย
สำหรับมาตรการที่รัฐบาลออกมาช่วยเหลือเกษตรกร ได้แก่ 1. โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี เป้าหมาย 2 ล้านตันข้าวเปลือก 2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2560/61 ประมาณ 2.5 ล้านตัน 3. โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก ปีการผลิต 2560/61 โดยชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการรับซื้อข้าวเปลือกเพื่อเก็บสต็อก เป้าหมาย 8 ล้านตัน ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี ระยะเวลาชดเชยดอกเบี้ย 60 – 180 วัน
บันทึกการเข้า
benzkung
PREVILEGE MEMBER
กระทู้: 5,160
Total likes: 117
คะแนนพิเศษ: +1/-0
Re: อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
«
ตอบกลับ #174 เมื่อ:
พฤศจิกายน 14, 2017, 09:48:44 PM »
กระทรวงแรงงานระดมทุกภาคส่วน เดินเครื่องเต็มสูบพัฒนาคนทำงาน ขับเคลื่อน 4.0
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 - 11:37 น.
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุม เผยระดมทุกภาคส่วน สถาบันการศึกษา สมาคม องค์กรด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีชั้นสูงกว่า 40 แห่ง ขับเคลื่อนพัฒนากำลังคนตอบรับ 4.0
นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยหลังเป็นประธานในการประชุมหารือระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงานหน่วยงานด้านการศึกษา สมาคม องค์กรด้านการส่งเสริมนวัตกรรม เทคโนโลยี การลงทุนและเศรษฐกิจ รวมกว่า 40 หน่วยงาน เพื่อร่วมกันวางแผนด้านการพัฒนากำลังแรงงานของประเทศให้สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงาน ว่าจากปัญหาการขาดแคลนแรงงาน แรงงานขาดทักษะ หรือแรงงานมีทักษะไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อให้ปัญหาดังที่กล่าวมาได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนาฝีมือทั้งคนที่ต้องการเข้าสู่ตลาดแรงงาน และคนทำงานที่อยู่ในสถานประกอบการอยู่แล้ว จึงเชิญผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือและวางแผนการพัฒนากำลังคนร่วมกัน อาทิ สถาบันการศึกษาชั้นนำ เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ,พระจอมเกล้าพระนครเหนือ,พระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง สมาคมต่างๆ เช่น สมาคมโรงแรมไทย สมาคมสปา สมาคมผู้ประกอบการนำเที่ยวไทย สมาคมไทยโลจิสติกส์และการผลติ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สถาบันไทย-เยอรมัน สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น กระทรวงดิจิทัลฯ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย BOI และอีกหลายหน่วยงาน เพื่อนำเสนอข้อมูล และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ร่วมกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างแท้จริง และเป็นประโยชน์ต่อทุกองค์กร
นายจรินทร์กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาหน่วยที่ทำหน้าที่ผลิตกำลังแรงานเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน อย่างเช่นสถาบันการศึกษา ก็จะทำหน้าที่ผลิตนักเรียน นักศึกษา และขยายสาขาการเรียนการสอนให้มากขึ้น ซึ่งในบางครั้งอาจมีข้อมูลไม่เพียงพอ ทำให้บัณฑิตบางสาขาตกงาน ในการหารือกันในวันนี้ (13 พฤศจิกายน 2560) ทุกภาคส่วนจะได้มีข้อมูลพร้อมแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมถึงร่วมกันวางแผนการพัฒนากำลังคนให้สอดรับกับความต้องการ โดยเฉพาะการพัฒนากำลังรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายทั้ง S-curve และ New S-curve โดยในปี 2561 กพร.มีเป้าหมายดำเนินการเพื่อเพิ่มศักยภาพแรงงานรองรับไทยแลนด์ 4.0 จำนวน 98,800 คน นอกจากนี้ยังมีในส่วนของโครงการ พัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูงและอุตสาหกรรมแห่งอนาคตในพื้นที่ระเบียบเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) อีก 9,200 คน และในส่วนนี้ยังไม่รวมการส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการที่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545 ดำเนินการ ซึ่ง กพร.ขอความร่วมมือให้สถานประกอบกิจการดำเนินการฝึกอบรมและพัฒนาพนักงานในด้านที่เกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยี ร้อยละ 50 ของหลักสูตรทั้งหมดที่ดำเนินการฝึกอบรม
นายสุทธิ สุโกศล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ยกระดับสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานนำร่อง12 แห่งทั่วประเทศ เป็นสถาบันเทคโนโลยีชั้นสูง ตามจุดเน้นของแต่ละพื้นที่ จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเฉพาะด้าน อาทิ AHRDA เป็นศูนย์การเรียนรู้ฯ ด้านยานยนต์/ชิ้นส่วน, จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรม MARA (Manufacturing automation and robot academy) ขึ้น พัฒนาทักษะ Multi-skill ให้กับแรงงานที่อยู่ในสถานประกอบการ และในอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน อาหาร พลาสติก แม่พิมพ์ เป็นต้น โดยดำเนินการพัฒนาแรงงานในด้านเทคโนโลยีชั้นสูงแล้วจำนวน 20,133 คน จากเป้าหมายปี 2560 จำนวน 19,864 คน
มีเครือข่ายการพัฒนาฝีมือแรงงานทั้งภาครัฐและเอกชน ร่วมเป็นศูนย์ทดสอบฯ กว่า 400 แห่งทั่วประเทศ ปัจจุบันดำเนินการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแล้วจำนวน 74,469 คน โดยนำระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Testing System) มาใช้ในการทดสอบภาคทฤษฎี เพื่อสร้างความมั่นใจและมีความโปร่งใสในการปฏิบัติงานด้านดังกล่าว และปรับแก้ไขหลักเกณฑ์ให้นักศึกษาอาชีวะ ระดับ ปวช.ปีสุดท้าย ซึ่งอายุไม่ถึง 18 ปี ให้สามารถเข้าสู่กระบวนการทดสอบมาตรฐานฯ ได้ รวมถึงมีผู้ผ่านการประเมินความรู้ ความสามารถ สาขาช่างไฟฟ้าภายในอาคารแล้ว 77,327 คน
การร่วมกันวางแผนการพัฒนากำลังแรงงานในครั้งนี้ เชื่อมั่นว่าจะสามารถพัฒนากำลังแรงงานทั้งคนที่กำลังจะเข้าสู่การทำงานและคนทำงานที่อยู่ในระบบอยู่แล้วจะได้รับการพัฒนาทักษะให้สูงขึ้นและมีศักยภาพตรงกับความต้องการของสถานประกอบการ กลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ และสามารถขับเคลื่อนสู่ไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างแน่นอน ปลัดกระทรวงแรงงานกล่าว
บันทึกการเข้า
พิมพ์
หน้า:
1
...
5
6
[
7
]
8
9
ขึ้นบน
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
Music Massage by Pong: นวดประกอบเพลงโดยพงษ์
»
Members' Forum
»
มุมทั่วไป มุมความรู้ เคล็ดลับต่างๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ
(ผู้ดูแล:
admin
) »
อัพเดด ข่าวเศรษฐกิจ
Calendar
กุมภาพันธ์ 2025
อา.
จ.
อ.
พ.
พฤ.
ศ.
ส.
1
2
[3]
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Birthdays -
Prasert (2006)
- Today's Events -
❌14.00(Booked)
❌20.00(Booked)
❌12.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌18.00(Booked)
- Today's Events -
❌14.00(Booked)
❌20.00(Booked)
❌12.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌18.00(Booked)
- Birthdays -
ball_y1248 (38)
- Today's Events -
❌14.00(Booked)
❌20.00(Booked)
❌12.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌18.00(Booked)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌12.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌18.00(Booked)
- Birthdays -
psyThink (48)
- Today's Events -
❌12.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌18.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌20.00(Booked)
- Holidays -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Birthdays -
Shinjuku (44)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
✅14.00(Free)
❌18.00(Booked)
✅12.00(Free)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Birthdays -
Miminpp (32)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
✅12.00(Free)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌12.00(Booked)
✅20.00(Free)
✅18.00(free)
❌14.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
✅14.00(Free)
✅12.00(Free)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Birthdays -
jack (40)
- Today's Events -
❌18.00(Booked)
❌12.00(Booked)
✅14.00(Free)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌18.00(Booked)
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌12.00(Booked)
❌14.00(Booked)
❌20.00(Booked)
✅18.00(free)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Birthdays -
nattyboyza (40)
- Today's Events -
❌18.00(Booked)
❌20.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
❌12.00(Booked)
✅18.00(free)
❌18.00(Booked)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Today's Events -
⛔️Close service(หยุดให้บริการ)
- Birthdays -
FC@P (25)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
❌12.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌18.00(Booked)
❌20.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌18.00(Booked)
❌20.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
- Today's Events -
❌20.00(Booked)
🔵16.00Cleaning(งดให้บริการ)
No calendar events were found.